Ultimate Guide: ทำความเข้าใจรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish เพื่อการเทรดที่เหนือกว่า
Introduction:
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อตัดสินใจซื้อขายในตลาดการเงิน รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากเทรดเดอร์ทั่วโลก แท่งเทียนแต่ละแท่งไม่เพียงแค่แสดงข้อมูลราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอารมณ์และแรงผลักดันระหว่างผู้ซื้อ (Bullish) และผู้ขาย (Bearish) ในตลาดได้อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความหมายและนัยยะของรูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะนำเสนอ “Ultimate Guide” ในการเจาะลึกรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish ที่สำคัญ โดยอธิบายถึงลักษณะ การก่อตัว นัยยะทางจิตวิทยาของตลาด และเคล็ดลับการนำไปใช้ในการเทรด เพื่อให้ท่านสามารถยกระดับความเข้าใจและเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมืออาชีพ

ทำความรู้จักกับรูปแบบแท่งเทียน Bullish (ตลาดขาขึ้น)
รูปแบบแท่งเทียน Bullish หรือแท่งเทียนขาขึ้น บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น มักปรากฏที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือระหว่างช่วงพักตัวในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาต่อไป การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจังหวะเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบ
1. รูปแบบ Bullish Rails (แท่งเทียนคู่กลับตัวขาขึ้น)
- คืออะไร: รูปแบบ Bullish Rails เป็นรูปแบบการกลับตัวที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีขนาดตัวแท่ง (Real Body) ใกล้เคียงกัน แท่งแรกเป็นแท่งสีแดง (Bearish) ตามด้วยแท่งที่สองที่เป็นสีเขียว (Bullish) โดยที่ราคาสูงสุดและต่ำสุดของทั้งสองแท่งมักจะอยู่ใกล้เคียงกัน หรือแท่งที่สองมีราคาเปิดและปิดครอบคลุมแท่งแรกเล็กน้อย
- ทำไมจึงก่อตัว: รูปแบบนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมจากแรงขายที่เคยครองตลาด (แท่งแดง) ไปสู่แรงซื้อที่เริ่มเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง (แท่งเขียว) ซึ่งสามารถเอาชนะแรงขายเดิมได้
- วิธีการระบุ: มองหาแท่งแดงขนาดใหญ่หรือปานกลาง ตามด้วยแท่งเขียวที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เปิดต่ำกว่าหรือใกล้เคียงราคาปิดของแท่งแดง และปิดสูงกว่าหรือใกล้เคียงราคาเปิดของแท่งแดง โดยทั้งคู่มีช่วงราคาใกล้เคียงกัน
- นัยยะที่สำคัญ: บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวรับสำคัญ แนวรับ
- เคล็ดลับการเทรด:
- ยืนยันสัญญาณด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นในแท่งเขียว
- เข้าซื้อเมื่อแท่งเทียนถัดไปปิดยืนยันเหนือราคาสูงสุดของรูปแบบ
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
- ผลลัพธ์: หากรูปแบบนี้ได้รับการยืนยัน มักจะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างน้อยในระยะสั้นถึงกลาง
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเทียนถัดไปไม่สามารถทำราคาสูงขึ้น หรือกลับไปปิดต่ำกว่ารูปแบบ อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแรงซื้อยังไม่แข็งแกร่งพอ
2. รูปแบบ Three White Soldiers (สามทหารขาว)
- คืออะไร: เป็นรูปแบบกลับตัวหรือต่อเนื่องที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียนสีเขียว (Bullish) 3 แท่งติดต่อกัน แต่ละแท่งมีราคาปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า และมีราคาเปิดอยู่ภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า โดยมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย
- ทำไมจึงก่อตัว: สะท้อนถึงการเข้ามาของแรงซื้อที่ต่อเนื่องและแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง บ่งชี้ว่าผู้ซื้อกำลังควบคุมตลาดได้อย่างสมบูรณ์
- วิธีการระบุ:
- แท่งเทียน 3 แท่งเป็นสีเขียวทั้งหมด
- แต่ละแท่งเปิดภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า แต่ปิดสูงกว่าแท่งก่อนหน้า
- ตัวแท่งควรมีขนาดใหญ่และมีไส้เทียนสั้น
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้นเดิมที่กำลังจะเร่งตัว
- เคล็ดลับการเทรด:
- พิจารณาเข้าซื้อเมื่อเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากแนวโน้มขาลงสิ้นสุดลง
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแรกในรูปแบบ
- สามารถใช้ร่วมกับ Moving Average เพื่อยืนยันแนวโน้ม
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งที่สามมีขนาดเล็กมาก หรือมีไส้เทียนด้านบนยาว อาจบ่งบอกถึงแรงซื้อที่เริ่มอ่อนแรงลง ควรระมัดระวัง
3. รูปแบบ Mat Hold (พักฐานก่อนขึ้นต่อ)
- คืออะไร: รูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งแดงเล็กๆ 3-4 แท่งที่อยู่ในช่วงของแท่งเขียวแรก และปิดท้ายด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่อีกครั้งที่ปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งเขียวแรก
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการพักตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น แรงขายเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่สามารถผลักดันราคาให้ต่ำลงมากได้ และแรงซื้อก็กลับมาควบคุมตลาดอีกครั้ง
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
- แท่ง 2-4: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก อยู่ในช่วงราคาของแท่งแรก
- แท่งสุดท้าย: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อไปหลังจากการพักฐานสั้นๆ เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อหรือเพิ่มสถานะ
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวสุดท้ายปิดยืนยันเหนือราคาสูงสุดของรูปแบบ
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแดงที่ต่ำที่สุดในรูปแบบ
- ผลลัพธ์: มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีโมเมนตัม
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งแดงมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งเขียวสุดท้ายไม่สามารถปิดเหนือแท่งแรกได้ อาจไม่ใช่รูปแบบ Mat Hold และแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง
4. รูปแบบ Bullish Pinbar (แท่งเทียนไส้ยาวขาขึ้น)
- คืออะไร: รูปแบบแท่งเทียนเดี่ยวที่มีไส้เทียนด้านล่างยาวมาก (Lower Shadow) และมีตัวแท่ง (Real Body) สั้นๆ อยู่บริเวณส่วนบนของแท่งเทียน บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่ต่ำลง
- ทำไมจึงก่อตัว: ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ขายพยายามผลักดันราคาลงไปอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดผู้ซื้อก็สามารถดันราคาขึ้นมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือสูงกว่าได้ แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะแรงขายได้
- วิธีการระบุ:
- ไส้เทียนด้านล่างยาวอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัวแท่ง
- ตัวแท่งสั้น อยู่บริเวณ 1 ใน 3 ส่วนบนของแท่งเทียน
- ไส้เทียนด้านบนสั้นมากหรือไม่มีเลย
- ปรากฏที่ แนวรับ หรือจุดกลับตัว
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวรับที่แข็งแกร่ง ประเภทของ Pin Bar
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าซื้อเมื่อแท่งถัดไปปิดเหนือราคาสูงสุดของ Pinbar
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าไส้เทียนด้านล่างของ Pinbar เล็กน้อย
- ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การดีดตัวของราคาขึ้นอย่างรวดเร็วและมีโมเมนตัม
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากไส้เทียนด้านล่างไม่ยาวมากพอ หรือตัวแท่งมีขนาดใหญ่เกินไป อาจไม่ถือเป็น Pinbar ที่มีนัยสำคัญ
5. รูปแบบ Bullish Engulfing (แท่งเทียนกลืนกินขาขึ้น)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดเล็ก และแท่งที่สองเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ที่ “กลืนกิน” ตัวแท่งของแท่งแรกได้อย่างสมบูรณ์
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของความเชื่อมั่นในตลาด จากแรงขายที่เคยควบคุมอยู่ถูกกลืนกินโดยแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก
- แท่งที่สอง: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
- ตัวแท่งของแท่งที่สองควรครอบคลุมตัวแท่งของแท่งแรกทั้งหมด
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้นที่ชัดเจนและมีพลังสูง บ่งบอกถึงการเข้ามาควบคุมตลาดของฝ่ายผู้ซื้ออย่างเด็ดขาด
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวปิดสมบูรณ์และยืนยันการกลืนกิน
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเขียวที่กลืนกิน
- ควรปรากฏหลังจากแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเขียวไม่สามารถกลืนกินแท่งแดงได้อย่างสมบูรณ์ หรือแท่งแดงมีขนาดใหญ่มากเกินไป ประสิทธิภาพของสัญญาณจะลดลง
6. รูปแบบ Bullish Harami (หญิงตั้งครรภ์ขาขึ้น)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัว ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดใหญ่ และแท่งที่สองเป็นสีเขียวขนาดเล็กที่อยู่ภายในตัวแท่งของแท่งแรก คล้ายกับหญิงตั้งครรภ์
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการชะลอตัวของแรงขายหลังจากที่เคยรุนแรงมาแล้ว (แท่งแดงใหญ่) และมีแรงซื้อเข้ามาเล็กน้อยแต่ไม่มากพอที่จะผลักดันราคาออกนอกช่วงของแท่งแรก บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่อาจจะกลับตัว
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
- แท่งที่สอง: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก เปิดและปิดอยู่ภายในช่วงของตัวแท่งแดงแรก
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น แต่ไม่แข็งแกร่งเท่า Engulfing ควรมีการยืนยันจากแท่งถัดไป
- เคล็ดลับการเทรด:
- รอการยืนยันด้วยแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ในแท่งถัดไปก่อนเข้าซื้อ
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งแดงแรก
- ผลลัพธ์: หากได้รับการยืนยัน อาจเห็นการปรับตัวขึ้นของราคา แต่โมเมนตัมอาจไม่รุนแรงเท่า Engulfing
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งถัดไปเป็นแท่งแดง หรือไม่สามารถขึ้นไปทำราคาสูงได้ รูปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแนวโน้มยังคงเป็นขาลง
7. รูปแบบ Morning Star (ดาวรุ่งยามเช้า)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัวขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งแรกเป็นสีแดงขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็ก (อาจเป็นเขียวหรือแดง หรือ Doji) ที่มี Gap ลงมา และปิดท้ายด้วยแท่งเขียวขนาดใหญ่ที่ Gap ขึ้นไปหรือปิดสูงในตัวแท่ง
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน:
- แท่งแรก (แดงใหญ่): ผู้ขายยังคงควบคุมตลาด
- แท่งกลาง (เล็ก/Doji): ตลาดเริ่มลังเล แรงขายหมดลง แรงซื้อเริ่มเข้ามา แต่ยังไม่มีฝ่ายใดชนะ
- แท่งที่สาม (เขียวใหญ่): ผู้ซื้อเข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มตัวและผลักดันราคาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
- แท่งที่สอง: ตัวแท่งขนาดเล็ก (อาจเป็นสีเขียว แดง หรือ Doji) ที่มี Gap เปิดต่ำกว่าแท่งแรก
- แท่งที่สาม: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดสูงกว่าแท่งกลาง และราคาปิดเข้าสู่ช่วงตัวแท่งของแท่งแรก
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นที่เชื่อถือได้สูง บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแรงขายและเริ่มต้นของแรงซื้ออย่างมีนัยสำคัญ
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าซื้อเมื่อแท่งเขียวสุดท้ายปิดสมบูรณ์
- ตั้งจุด Stop Loss ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งกลาง
- เป็นรูปแบบที่ควรให้ความสำคัญเมื่อปรากฏที่แนวรับที่แข็งแกร่ง
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งกลางมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งที่สามไม่สามารถปิดสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบอาจจะอ่อนแอลง
ทำความรู้จักกับรูปแบบแท่งเทียน Bearish (ตลาดขาลง)
รูปแบบแท่งเทียน Bearish หรือแท่งเทียนขาลง บ่งชี้ถึงแรงขายที่เข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวต่ำลง มักปรากฏที่จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือระหว่างช่วงพักตัวในแนวโน้มขาลง (Downtrend) เพื่อยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาต่อไป การเข้าใจรูปแบบเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถหาจังหวะเข้าขาย (Short Sell) ในจุดที่ได้เปรียบ
1. รูปแบบ Bearish Rails (แท่งเทียนคู่กลับตัวขาลง)
- คืออะไร: ตรงข้ามกับ Bullish Rails ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่มีขนาดตัวแท่งใกล้เคียงกัน แท่งแรกเป็นแท่งสีเขียว (Bullish) ตามด้วยแท่งที่สองที่เป็นสีแดง (Bearish) โดยราคาสูงสุดและต่ำสุดของทั้งสองแท่งมักจะอยู่ใกล้เคียงกัน
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมจากแรงซื้อที่เคยครองตลาด (แท่งเขียว) ไปสู่แรงขายที่เริ่มเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง (แท่งแดง) ซึ่งสามารถเอาชนะแรงซื้อเดิมได้
- วิธีการระบุ: มองหาแท่งเขียวขนาดใหญ่หรือปานกลาง ตามด้วยแท่งแดงที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เปิดสูงกว่าหรือใกล้เคียงราคาปิดของแท่งเขียว และปิดต่ำกว่าหรือใกล้เคียงราคาเปิดของแท่งเขียว โดยทั้งคู่มีช่วงราคาใกล้เคียงกัน
- นัยยะที่สำคัญ: บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่ แนวต้าน สำคัญ
- เคล็ดลับการเทรด:
- ยืนยันสัญญาณด้วย Volume ที่เพิ่มขึ้นในแท่งแดง
- เข้าขายเมื่อแท่งเทียนถัดไปปิดยืนยันต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของรูปแบบ
- ผลลัพธ์: หากรูปแบบนี้ได้รับการยืนยัน มักจะตามมาด้วยการปรับตัวลงของราคาอย่างน้อยในระยะสั้นถึงกลาง
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเทียนถัดไปไม่สามารถทำราคาต่ำลง หรือกลับไปปิดสูงกว่ารูปแบบ อาจเป็นสัญญาณหลอก
2. รูปแบบ Three Black Crows (สามกาที่ดำมืด)
- คืออะไร: เป็นรูปแบบกลับตัวหรือต่อเนื่องที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Three White Soldiers ประกอบด้วยแท่งเทียนสีแดง (Bearish) 3 แท่งติดต่อกัน แต่ละแท่งมีราคาปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งก่อนหน้า และมีราคาเปิดอยู่ภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า โดยมีไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย
- ทำไมจึงก่อตัว: สะท้อนถึงการเข้ามาของแรงขายที่ต่อเนื่องและแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง บ่งชี้ว่าผู้ขายกำลังควบคุมตลาดได้อย่างสมบูรณ์
- วิธีการระบุ:
- แท่งเทียน 3 แท่งเป็นสีแดงทั้งหมด
- แต่ละแท่งเปิดภายในตัวแท่งของแท่งก่อนหน้า แต่ปิดต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า
- ตัวแท่งควรมีขนาดใหญ่และมีไส้เทียนสั้น
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มขาลงเดิมที่กำลังจะเร่งตัว รูปแบบแท่งเทียน Three Black Crows
- เคล็ดลับการเทรด:
- พิจารณาเข้าขายเมื่อเห็นรูปแบบนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังจากแนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุดลง
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งแรกในรูปแบบ
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งที่สามมีขนาดเล็กมาก หรือมีไส้เทียนด้านล่างยาว อาจบ่งบอกถึงแรงขายที่เริ่มอ่อนแรงลง ควรระมัดระวัง
3. รูปแบบ Bearish Mat Hold (พักฐานก่อนลงต่อ)
- คืออะไร: รูปแบบต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง ตรงข้ามกับ Bullish Mat Hold ประกอบด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเขียวเล็กๆ 3-4 แท่งที่อยู่ในช่วงของแท่งแดงแรก และปิดท้ายด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่อีกครั้งที่ปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดงแรก
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการพักตัวของราคาในแนวโน้มขาลง แรงซื้อเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ไม่สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นมากได้ และแรงขายก็กลับมาควบคุมตลาดอีกครั้ง
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่
- แท่ง 2-4: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก อยู่ในช่วงราคาของแท่งแรก
- แท่งสุดท้าย: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแรก
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณยืนยันว่าแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไปหลังจากการพักฐานสั้นๆ เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าขายหรือเพิ่มสถานะ Short
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าขายเมื่อแท่งแดงสุดท้ายปิดยืนยันต่ำกว่าราคาต่ำสุดของรูปแบบ
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งเขียวที่สูงที่สุดในรูปแบบ
- ผลลัพธ์: มักจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาลงอย่างต่อเนื่องและมีโมเมนตัม
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งเขียวมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งแดงสุดท้ายไม่สามารถปิดต่ำกว่าแท่งแรกได้ อาจไม่ใช่รูปแบบ Mat Hold และแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง
4. รูปแบบ Bearish Pinbar (แท่งเทียนไส้ยาวขาลง)
- คืออะไร: รูปแบบแท่งเทียนเดี่ยวที่มีไส้เทียนด้านบนยาวมาก (Upper Shadow) และมีตัวแท่งสั้นๆ อยู่บริเวณส่วนล่างของแท่งเทียน บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่สูงขึ้น
- ทำไมจึงก่อตัว: ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาขึ้นไปอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดผู้ขายก็สามารถดันราคาลงมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิดหรือต่ำกว่าได้ แสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่งที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะแรงซื้อได้
- วิธีการระบุ:
- ไส้เทียนด้านบนยาวอย่างน้อย 2-3 เท่าของตัวแท่ง
- ตัวแท่งสั้น อยู่บริเวณ 1 ใน 3 ส่วนล่างของแท่งเทียน
- ไส้เทียนด้านล่างสั้นมากหรือไม่มีเลย
- ปรากฏที่ แนวต้าน หรือจุดกลับตัว
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะเมื่อปรากฏที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าขายเมื่อแท่งถัดไปปิดต่ำกว่าราคาต่ำสุดของ Pinbar
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าไส้เทียนด้านบนของ Pinbar เล็กน้อย
- ใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น RSI หรือ Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การดิ่งลงของราคาอย่างรวดเร็วและมีโมเมนตัม
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากไส้เทียนด้านบนไม่ยาวมากพอ หรือตัวแท่งมีขนาดใหญ่เกินไป อาจไม่ถือเป็น Pinbar ที่มีนัยสำคัญ
5. รูปแบบ Bearish Engulfing (แท่งเทียนกลืนกินขาลง)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัวที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Bullish Engulfing ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดเล็ก และแท่งที่สองเป็นสีแดงขนาดใหญ่ที่ “กลืนกิน” ตัวแท่งของแท่งแรกได้อย่างสมบูรณ์
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของความเชื่อมั่นในตลาด จากแรงซื้อที่เคยควบคุมอยู่ถูกกลืนกินโดยแรงขายที่เข้ามาอย่างมหาศาล
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดเล็ก
- แท่งที่สอง: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดสูงกว่าราคาปิดของแท่งแรก และราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดของแท่งแรก
- ตัวแท่งของแท่งที่สองควรครอบคลุมตัวแท่งของแท่งแรกทั้งหมด รูปแบบแท่งเทียน Bearish Engulfing
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลงที่ชัดเจนและมีพลังสูง บ่งบอกถึงการเข้ามาควบคุมตลาดของฝ่ายผู้ขายอย่างเด็ดขาด
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าขายเมื่อแท่งแดงปิดสมบูรณ์และยืนยันการกลืนกิน
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งแดงที่กลืนกิน
- ควรปรากฏหลังจากแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาอย่างมีนัยสำคัญ
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งแดงไม่สามารถกลืนกินแท่งเขียวได้อย่างสมบูรณ์ หรือแท่งเขียวมีขนาดใหญ่มากเกินไป ประสิทธิภาพของสัญญาณจะลดลง
6. รูปแบบ Bearish Harami (หญิงตั้งครรภ์ขาลง)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัว ตรงข้ามกับ Bullish Harami ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ และแท่งที่สองเป็นสีแดงขนาดเล็กที่อยู่ภายในตัวแท่งของแท่งแรก คล้ายกับหญิงตั้งครรภ์
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการชะลอตัวของแรงซื้อหลังจากที่เคยรุนแรงมาแล้ว (แท่งเขียวใหญ่) และมีแรงขายเข้ามาเล็กน้อยแต่ไม่มากพอที่จะผลักดันราคาออกนอกช่วงของแท่งแรก บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่อาจจะกลับตัว
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
- แท่งที่สอง: Bearish (แดง) ขนาดเล็ก เปิดและปิดอยู่ภายในช่วงของตัวแท่งเขียวแรก
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ของการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง แต่ไม่แข็งแกร่งเท่า Engulfing ควรมีการยืนยันจากแท่งถัดไป
- เคล็ดลับการเทรด:
- รอการยืนยันด้วยแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่ในแท่งถัดไปก่อนเข้าขาย
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งเขียวแรก
- ผลลัพธ์: หากได้รับการยืนยัน อาจเห็นการปรับตัวลงของราคา แต่โมเมนตัมอาจไม่รุนแรงเท่า Engulfing
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งถัดไปเป็นแท่งเขียว หรือไม่สามารถลงไปทำราคาต่ำได้ รูปแบบนี้อาจเป็นสัญญาณหลอก หรือแนวโน้มยังคงเป็นขาขึ้น
7. รูปแบบ Evening Star (ดาวรุ่งยามเย็น)
- คืออะไร: รูปแบบกลับตัวขาลงที่แข็งแกร่ง ตรงข้ามกับ Morning Star ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งแรกเป็นสีเขียวขนาดใหญ่ ตามด้วยแท่งเทียนขนาดเล็ก (อาจเป็นเขียวหรือแดง หรือ Doji) ที่มี Gap ขึ้นไป และปิดท้ายด้วยแท่งแดงขนาดใหญ่ที่ Gap ลงมาหรือปิดต่ำในตัวแท่ง
- ทำไมจึงก่อตัว: แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน:
- แท่งแรก (เขียวใหญ่): ผู้ซื้อยังคงควบคุมตลาด
- แท่งกลาง (เล็ก/Doji): ตลาดเริ่มลังเล แรงซื้อหมดลง แรงขายเริ่มเข้ามา แต่ยังไม่มีฝ่ายใดชนะ
- แท่งที่สาม (แดงใหญ่): ผู้ขายเข้าควบคุมตลาดอย่างเต็มตัวและผลักดันราคาลงอย่างแข็งแกร่ง
- วิธีการระบุ:
- แท่งแรก: Bullish (เขียว) ขนาดใหญ่
- แท่งที่สอง: ตัวแท่งขนาดเล็ก (อาจเป็นสีเขียว แดง หรือ Doji) ที่มี Gap เปิดสูงกว่าแท่งแรก
- แท่งที่สาม: Bearish (แดง) ขนาดใหญ่ ราคาเปิดต่ำกว่าแท่งกลาง และราคาปิดเข้าสู่ช่วงตัวแท่งของแท่งแรก รูปแบบ Evening Star Forex คืออะไร
- นัยยะที่สำคัญ: เป็นสัญญาณการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงที่เชื่อถือได้สูง บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแรงซื้อและเริ่มต้นของแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ
- เคล็ดลับการเทรด:
- เข้าขายเมื่อแท่งแดงสุดท้ายปิดสมบูรณ์
- ตั้งจุด Stop Loss สูงกว่าราคา candlestick ของแท่งกลาง
- เป็นรูปแบบที่ควรให้ความสำคัญเมื่อปรากฏที่แนวต้านที่แข็งแกร่ง
- ผลลัพธ์: มักนำไปสู่การปรับตัวลงของราคาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากแท่งกลางมีขนาดใหญ่เกินไป หรือแท่งที่สามไม่สามารถปิดต่ำลงได้อย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบอาจจะอ่อนแอลง
ตารางสรุปความแตกต่าง: รูปแบบแท่งเทียน Bullish vs Bearish
| คุณสมบัติ | รูปแบบแท่งเทียน Bullish (ขาขึ้น) | รูปแบบแท่งเทียน Bearish (ขาลง) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | บ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้าซื้อ (Buy) | บ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้าขาย (Sell / Short) |
| สัญญาณ | การกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น หรือต่อเนื่องขาขึ้น | การกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือต่อเนื่องขาลง |
| สีแท่งเทียนเด่น | สีเขียว (หรือสีอื่นๆ ที่ระบุว่าเป็นแท่งขาขึ้น) | สีแดง (หรือสีอื่นๆ ที่ระบุว่าเป็นแท่งขาลง) |
| ตำแหน่งที่ปรากฏ | มักปรากฏที่แนวรับ หรือท้ายแนวโน้มขาลง | มักปรากฏที่แนวต้าน หรือท้ายแนวโน้มขาขึ้น |
| จิตวิทยาตลาด | แรงซื้อเอาชนะแรงขาย ความเชื่อมั่นฟื้นตัว | แรงขายเอาชนะแรงซื้อ ความเชื่อมั่นลดลง |
| ตัวอย่าง (กลับตัว) | Morning Star, Bullish Engulfing, Pinbar (ไส้ล่างยาว) | Evening Star, Bearish Engulfing, Pinbar (ไส้บนยาว) |
| ตัวอย่าง (ต่อเนื่อง) | Three White Soldiers, Mat Hold (Bullish) | Three Black Crows, Mat Hold (Bearish) |
FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish
Q1: รูปแบบแท่งเทียนมีความแม่นยำแค่ไหนในการเทรด?
A1: รูปแบบแท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการระบุแนวโน้มและการกลับตัวของราคา อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดที่แม่นยำ 100% ความแม่นยำของรูปแบบแท่งเทียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อใช้ร่วมกับการวิเคราะห์องค์ประกอบอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, ปริมาณการซื้อขาย (Volume), Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น, หรืออินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI, MACD, Stochastic เพื่อยืนยันสัญญาณ ยิ่งมีสัญญาณยืนยันหลายอย่างประกอบกัน ความน่าเชื่อถือของรูปแบบก็จะยิ่งสูงขึ้น
Q2: มือใหม่ควรเริ่มต้นเรียนรู้รูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish แบบใดก่อน?
A2: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นจากรูปแบบพื้นฐานที่พบบ่อยและมีความน่าเชื่อถือสูง เช่น:
- สำหรับ Bullish: Bullish Engulfing, Pinbar (Hammer), Morning Star
- สำหรับ Bearish: Bearish Engulfing, Pinbar (Shooting Star), Evening Star
รูปแบบเหล่านี้มีความชัดเจนในการให้สัญญาณและง่ายต่อการจดจำ การทำความเข้าใจและฝึกฝนการระบุรูปแบบเหล่านี้ในกราฟจริงจะช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งก่อนที่จะขยับไปเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
Q3: ควรใช้รูปแบบแท่งเทียนบน Timeframe ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด?
A3: รูปแบบแท่งเทียนสามารถปรากฏได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึงรายเดือน แต่โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบที่ปรากฏบน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) มักจะมีความน่าเชื่อถือและมีนัยยะสำคัญมากกว่ารูปแบบที่ปรากฏบน Timeframe เล็กๆ (เช่น M1, M5, M15) เนื่องจากสะท้อนถึงแรงซื้อขายที่แท้จริงในระยะยาวมากกว่า อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถใช้รูปแบบบน Timeframe เล็กเพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำขึ้น โดยอิงตามแนวโน้มหลักจาก Timeframe ที่ใหญ่กว่า (Multi-Timeframe Analysis)
Q4: รูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish สามารถใช้ในการเทรดประเภทใดได้บ้าง?
A4: รูปแบบแท่งเทียนเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้กับการเทรดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น:
- Day Trading และ Scalping: ใช้เพื่อระบุจุดเข้าออกที่รวดเร็วและแม่นยำบน Timeframe เล็ก
- Swing Trading: ใช้เพื่อจับจังหวะการกลับตัวของราคาในช่วงกลางหรือปลายของคลื่นราคา
- Position Trading: ใช้เพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่และเข้าถือสถานะในระยะยาว
สิ่งสำคัญคือการปรับใช้รูปแบบให้เข้ากับกลยุทธ์และ Timeframe ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล และอย่าลืมว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดเสมอ การบริหารความเสี่ยง
Conclusion:
การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในรูปแบบแท่งเทียน Bullish และ Bearish ถือเป็นทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรมี แท่งเทียนเหล่านี้เป็นมากกว่าเพียงแค่การแสดงข้อมูลราคา แต่คือกระจกสะท้อนถึงจิตวิทยาและพลวัตของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ด้วยการเรียนรู้ลักษณะเฉพาะ นัยยะทางจิตวิทยา และกลยุทธ์การเทรดที่เกี่ยวข้องกับแต่ละรูปแบบ ท่านจะสามารถอ่านภาษาราคาได้อย่างชำนาญ และมีข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะทรงพลัง แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่มีเครื่องมือใดสมบูรณ์แบบ การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น แนวรับแนวต้าน, อินดิเคเตอร์, และการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณและลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกได้เป็นอย่างดี หมั่นฝึกฝน ทบทวน และปรับใช้ความรู้เหล่านี้ในการเทรดจริงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการเทรด!