TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
สอนเทรดมือใหม่

กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นคืออะไร ?

กรกฎาคม 5, 2022

ถอดรหัสกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น: เครื่องมือสำคัญสู่การเทรดที่เหนือกว่า

ในโลกของการลงทุนและการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น Forex หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาคือหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุนทั่วโลกคือ กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น (Japanese Candlestick Chart) ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแสดงผลข้อมูลราคา แต่ยังสะท้อนถึงอารมณ์และจิตวิทยาของตลาดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างลึกซึ้ง บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้เพื่อการวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางราคาอย่างมืออาชีพ

กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการเทรด?

กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “Candlestick” หรือ “Candle” คือรูปแบบการนำเสนอข้อมูลราคาที่คิดค้นโดยพ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพื่อใช้ในการทำนายทิศทางราคาข้าวล่วงหน้า ด้วยลักษณะที่สามารถแสดงข้อมูลสำคัญ 4 อย่างในแท่งเดียว ได้แก่ ราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้กราฟแท่งเทียนมีความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวการเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายกว่ากราฟรูปแบบอื่นๆ อาทิ กราฟเส้นหรือกราฟแท่ง (Bar Chart)

หัวใจสำคัญของกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นอยู่ที่ “สี” และ “รูปร่าง” ของแท่งเทียน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางและแรงขับเคลื่อนของตลาด:

  • แท่งเทียนสีเขียว (หรือสีขาว/น้ำเงิน): บ่งชี้ถึงภาวะ กระทิง (Bullish) หรือแรงซื้อที่เหนือกว่าแรงขาย ส่งผลให้ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงถึงแนวโน้มราคาที่กำลังปรับตัวขึ้น
  • แท่งเทียนสีแดง (หรือสีดำ): บ่งชี้ถึงภาวะ หมี (Bearish) หรือแรงขายที่เหนือกว่าแรงซื้อ ส่งผลให้ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงถึงแนวโน้มราคาที่กำลังปรับตัวลง

การทำงานของแท่งเทียนในกรอบเวลาต่างๆ

แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 1 นาที, 5 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, 1 สัปดาห์ หรือแม้แต่ 1 เดือน ซึ่งเรียกว่า “กรอบเวลา (Timeframe)” การเลือกใช้กรอบเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ เนื่องจากแท่งเทียนในกรอบเวลาที่ต่างกันจะให้มุมมองที่แตกต่างกันออกไป:

  • กรอบเวลาที่สั้นลง: เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้น (Scalping หรือ Day Trading) ที่ต้องการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็มีความผันผวนและสัญญาณหลอกได้ง่ายกว่า
  • กรอบเวลาที่ยาวขึ้น: เช่น 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง, หรือ 1 วัน เหมาะสำหรับนักเทรดระยะกลางถึงระยะยาว ที่ต้องการเห็นภาพรวมของแนวโน้มราคาที่ชัดเจนและมีสัญญาณที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น:

  1. ราคาขึ้นภายใน 5 นาที: เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 นาที จะก่อให้เกิด แท่งเทียนสีเขียว 1 แท่งในกรอบเวลา 5 นาที ซึ่งภายในแท่งเทียน 5 นาทีนี้ อาจประกอบด้วยแท่งเทียน 1 นาที จำนวน 5 แท่ง ที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวปลีกย่อยในแต่ละนาที
  2. ราคาลดลงภายใน 5 นาที: ในทางตรงกันข้าม หากราคาปรับตัวลดลงในช่วง 5 นาที จะเกิด แท่งเทียนสีแดง 1 แท่งในกรอบเวลา 5 นาที ซึ่งเช่นกัน อาจประกอบด้วยแท่งเทียน 1 นาที จำนวน 5 แท่ง ที่แสดงการลงของราคา

ดังนั้น กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นจึงประกอบด้วยแท่งเทียนที่ต่อเนื่องกันเป็นชุด ซึ่งแต่ละแท่งจะบอกเล่าเรื่องราวของราคาในกรอบเวลาที่เลือก การที่นักเทรดใช้ “แผนภูมิแท่งเทียน 1 นาที” หมายถึง พวกเขากำลังดูการเคลื่อนไหวของราคาที่ละเอียดทุกนาที ในขณะที่ “แผนภูมิแท่งเทียน 5 นาที” จะให้ภาพรวมที่กว้างขึ้นในแต่ละช่วง 5 นาที


องค์ประกอบหลักของแท่งเทียนญี่ปุ่นที่ต้องทำความเข้าใจ

แท่งเทียนญี่ปุ่นแต่ละแท่งประกอบด้วยสององค์ประกอบหลักที่สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา ได้แก่ “ตัวแท่งเทียน (Body)” และ “เงา (Shadow/Wick)” รวมถึงข้อมูลราคา 4 จุดที่อธิบายถึงช่วงการเคลื่อนไหวของราคา:

  1. ราคาเปิด (Open Price): ราคาแรกที่มีการซื้อขายในช่วงเวลาของแท่งเทียน
  2. ราคาปิด (Close Price): ราคาสุดท้ายที่มีการซื้อขายในช่วงเวลาของแท่งเทียน
  3. ราคาสูงสุด (High Price): ราคาที่สูงที่สุดที่มีการซื้อขายในช่วงเวลาของแท่งเทียน
  4. ราคาต่ำสุด (Low Price): ราคาที่ต่ำที่สุดที่มีการซื้อขายในช่วงเวลาของแท่งเทียน

การตีความจากองค์ประกอบของแท่งเทียน:

  • แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick – สีเขียว):
    • ตัวแท่งเทียน (Body): เกิดขึ้นระหว่างราคาเปิด (ด้านล่าง) และราคาปิด (ด้านบน) ยิ่งตัวแท่งเทียนยาวยิ่งแสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
    • เงาบน (Upper Shadow): แสดงถึงระยะที่ราคาวิ่งขึ้นไปสูงสุด แต่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ ทำให้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาปิด
    • เงาล่าง (Lower Shadow): แสดงถึงระยะที่ราคาวิ่งลงไปต่ำสุด แต่ถูกดันกลับขึ้นมาได้ ทำให้ราคาต่ำสุดต่ำกว่าราคาเปิด
  • แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick – สีแดง):
    • ตัวแท่งเทียน (Body): เกิดขึ้นระหว่างราคาเปิด (ด้านบน) และราคาปิด (ด้านล่าง) ยิ่งตัวแท่งเทียนยาวยิ่งแสดงถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง
    • เงาบน (Upper Shadow): แสดงถึงระยะที่ราคาวิ่งขึ้นไปสูงสุด แต่ถูกดันกลับลงมา ทำให้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาเปิด
    • เงาล่าง (Lower Shadow): แสดงถึงระยะที่ราคาวิ่งลงไปต่ำสุด แต่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ ทำให้ราคาต่ำสุดต่ำกว่าราคาปิด
  • แท่งเทียนไร้ตัว/โดจิ (Doji Candlestick – สีกลาง):
    • ตัวแท่งเทียน (Body): มีขนาดเล็กมากหรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากราคาเปิดและราคาปิดอยู่ใกล้เคียงกันมาก หรือเท่ากันพอดี ซึ่งบ่งชี้ถึงความลังเลของตลาด หรือการที่แรงซื้อและแรงขายมีความสมดุลกัน
    • เงาบนและเงาล่าง: มักจะมีความยาวที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการสู้กันของราคาในช่วงนั้นๆ โดยเงาที่ยาวบ่งบอกถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นก่อนที่ราคาจะกลับมาปิดใกล้เคียงกับราคาเปิด

เคล็ดลับการอ่านองค์ประกอบแท่งเทียน

  • ความยาวของตัวแท่งเทียน: ตัวแท่งเทียนที่ยาวแสดงถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งและมีนัยสำคัญ ตัวแท่งเทียนที่สั้นแสดงถึงความลังเลหรือแรงซื้อ/แรงขายที่อ่อนแอ
  • ความยาวของเงา: เงาที่ยาวแสดงถึงความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ โดยที่ราคาสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลจากราคาเปิด/ปิด ก่อนที่จะถูกผลักกลับเข้ามา ยิ่งเงายาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบอกถึงการปฏิเสธราคา (Price Rejection) ในระดับนั้นๆ ได้ชัดเจน
  • Doji Candlestick: รูปแบบที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงการตัดสินใจของตลาดที่ยังไม่ชัดเจน มักปรากฏในจุดที่อาจเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม

ความสำคัญที่สุดของการอ่านแท่งเทียนญี่ปุ่น: การวิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมราคา

เหตุผลหลักที่นักเทรดมากกว่า 99% หันมาใช้ รูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เพราะความสวยงามของกราฟ แต่เป็นเพราะความสามารถในการ วิเคราะห์และคาดการณ์พฤติกรรมราคาในตลาด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แท่งเทียนแต่ละรูปแบบ หรือการเรียงตัวของแท่งเทียนหลายๆ แท่ง ก่อให้เกิด “รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)” ซึ่งเป็นสัญญาณที่สามารถบอกถึงแนวโน้มราคา การกลับตัว หรือการต่อเนื่องของแนวโน้มได้

ตัวอย่างการวิเคราะห์และคาดการณ์จากกลุ่มแท่งเทียน:

  1. สถานการณ์: คุณกำลังพิจารณาแท่งเทียนขาขึ้น (สีเขียว) ที่มีกรอบเวลา 30 นาที ซึ่งประกอบไปด้วยแท่งเทียนขาขึ้นขนาดเล็ก 3 แท่งในกรอบเวลา 10 นาที (10 นาที x 3 = 30 นาที)

    พฤติกรรมราคา: แสดงให้เห็นว่าราคามีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลา 30 นาที โดยไม่มีแรงขายเข้ามาแทรกแซงอย่างมีนัยสำคัญ

    การคาดการณ์: มีความเป็นไปได้สูงที่แนวโน้มราคาจะยังคงปรับตัวขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากแรงซื้อยังคงมีกำลังและควบคุมตลาดอยู่

  2. สถานการณ์: คุณพบแท่งเทียนที่มีลักษณะพิเศษ คือ มีตัวแท่งเทียนขนาดเล็กอยู่ด้านบนและมีเงาล่างที่ยาวมาก (คล้ายกับรูปแบบ Hammer หรือ Pin Bar) ในกรอบเวลา 30 นาที ซึ่งภายในประกอบด้วยแท่งเทียน 10 นาที 3 แท่ง

    พฤติกรรมราคา: ราคาได้ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 10 นาทีแรก แสดงถึงแรงขายที่รุนแรง แต่หลังจากนั้นราคาหยุดชะงัก (เกิดสมดุลชั่วคราว) และถูกผลักดันกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ทำให้ราคาปิดสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดอย่างมีนัยสำคัญ

    การคาดการณ์: รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาในระดับต่ำอย่างชัดเจน (Buyers stepped in) และมีแนวโน้มสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้ นักเทรดอาจพิจารณาหา จุดเข้าซื้อ

  3. สถานการณ์: คุณเห็นแท่งเทียนพิเศษในกรอบเวลา 30 นาที ที่มีราคาเปิดและราคาปิดเท่ากัน (หรือใกล้เคียงกันมาก) และมีเงาบนและเงาล่างที่ค่อนข้างยาว (รูปแบบ Doji หรือ Spinning Top ที่มีเงายาว)

    พฤติกรรมราคา: ราคาได้เคลื่อนไหวขึ้นและลงอย่างรุนแรงตลอดช่วง 30 นาที แสดงถึงการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างแรงซื้อและแรงขาย แต่ท้ายที่สุด ราคาปิดกลับมาอยู่ที่ระดับเดียวกับราคาเปิด ซึ่งหมายถึงไม่มีฝ่ายใดสามารถครองตลาดได้อย่างเด็ดขาด

    การคาดการณ์: สถานการณ์นี้บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและตลาดที่มีความผันผวนสูงในอนาคตอันใกล้ นักเทรดควรเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดคำสั่งซื้อขาย และอาจรอสังเกตสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นก่อนดำเนินการ

กฎสำคัญในการวิเคราะห์แท่งเทียนญี่ปุ่น

  • บริบทสำคัญ: รูปแบบแท่งเทียนไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว ควรพิจารณาร่วมกับแนวโน้มหลัก (Uptrend, Downtrend, Sideway), แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance), และอินดิเคเตอร์อื่นๆ (Moving Average, RSI, MACD) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการวิเคราะห์
  • กรอบเวลาที่ยาวขึ้นให้ความน่าเชื่อถือสูงกว่า: แท่งเทียนที่เกิดขึ้นในกรอบเวลาที่ยาวกว่า เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน มักจะให้สัญญาณที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากกว่าแท่งเทียนในกรอบเวลาที่สั้นกว่า เช่น รายนาทีหรือราย 5 นาที นั่นเป็นเพราะว่าข้อมูลในกรอบเวลาที่ยาวกว่าได้รวบรวมพฤติกรรมการซื้อขายที่มากกว่า และสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนกลุ่มใหญ่
  • การยืนยันสัญญาณ: ไม่ควรตัดสินใจซื้อขายจากแท่งเทียนเพียงแท่งเดียว ควรยืนยันสัญญาณด้วยแท่งเทียนถัดไป หรือใช้รูปแบบแท่งเทียนที่ประกอบด้วยหลายๆ แท่ง เพื่อให้มั่นใจในทิศทางมากขึ้น

ตารางสรุป: การเปรียบเทียบกรอบเวลาของกราฟแท่งเทียน

เพื่อทำความเข้าใจถึงความแตกต่างและข้อดีข้อเสียของการใช้กราฟแท่งเทียนในกรอบเวลาต่างๆ ตารางนี้จะช่วยสรุปข้อมูลสำคัญ:

กรอบเวลา ลักษณะการเทรดที่เหมาะสม ข้อดี ข้อเสีย ความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
1 นาที – 5 นาที Scalping, Day Trading จับจังหวะการเคลื่อนไหวเล็กๆ ได้เร็ว, โอกาสทำกำไรสั้นๆ บ่อยครั้ง สัญญาณรบกวนเยอะ, ผันผวนสูง, Requires quick decision-making ต่ำ
15 นาที – 30 นาที Day Trading, Short-term Swing Trading เห็นภาพรวมดีขึ้น, สัญญาณรบกวนน้อยลง, ยังคงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเร็ว ยังคงมีความผันผวนพอสมควร ปานกลาง
1 ชั่วโมง – 4 ชั่วโมง Swing Trading, Position Trading แนวโน้มชัดเจนขึ้น, สัญญาณน่าเชื่อถือสูง, ลดความเครียดจากการเฝ้าจอ โอกาสเข้าออกน้อยกว่ากรอบเวลาสั้น สูง
รายวัน (Daily) Swing Trading, Position Trading, Long-term Investment แนวโน้มที่ชัดเจนที่สุด, สัญญาณน่าเชื่อถือสูงมาก, เหมาะกับการวางแผนระยะยาว โอกาสเข้าออกน้อยมาก, ต้องใช้เวลารอคอย สูงมาก
รายสัปดาห์ (Weekly) – รายเดือน (Monthly) Long-term Investment ใช้สำหรับภาพรวมตลาดขนาดใหญ่, มองเห็นวัฏจักรตลาด, เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ไม่เหมาะกับการเทรดสั้น, สัญญาณเกิดช้ามาก สูงสุด

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น

1. กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นเหมาะกับการเทรดสินทรัพย์ใดบ้าง?

กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นสามารถใช้ได้กับการเทรดสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ราคาทองคำ, คู่สกุลเงินในตลาด Forex, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่แสดงพฤติกรรมราคาซึ่งเป็นสากล อย่างไรก็ตาม รูปแบบและพฤติกรรมบางอย่างอาจมีความเฉพาะเจาะจงกับแต่ละตลาดบ้างเล็กน้อย

2. การอ่านกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นยากหรือไม่สำหรับมือใหม่?

การเรียนรู้พื้นฐานของกราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นไม่ยาก แต่การตีความและประยุกต์ใช้ในการเทรดให้เกิดประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ การเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐาน สัญญาณ bullish/bearish และรูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญบางรูปแบบ จะช่วยให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นได้

3. ทำไมบางครั้งแท่งเทียนถึงไม่มีเงา?

แท่งเทียนที่ไม่มีเงาเลยเรียกว่า “Marubozu” ซึ่งบ่งบอกถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่แข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลานั้น หากเป็น Marubozu สีเขียว หมายความว่าราคาเปิดคือราคาต่ำสุดและราคาปิดคือราคาสูงสุด ไม่มีช่วงที่ราคาย่อตัวลงมาเลย ในทางกลับกัน Marubozu สีแดง หมายถึงราคาเปิดคือราคาสูงสุดและราคาปิดคือราคาต่ำสุด

4. ควรใช้กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นร่วมกับเครื่องมืออื่นหรือไม่?

แน่นอน! การใช้กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นร่วมกับ อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค อื่นๆ เช่น Moving Average, RSI, MACD, หรือการวิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และยืนยันสัญญาณการซื้อขายได้อย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์แบบหลายกรอบเวลา (Multi-timeframe Analysis) ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น

5. หากกราฟแท่งเทียนส่งสัญญาณผิดพลาดจะทำอย่างไร?

ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์ใดที่แม่นยำ 100% กราฟแท่งเทียนก็เช่นกัน สิ่งสำคัญคือการยอมรับว่าสัญญาณอาจผิดพลาดได้ และมี แผนการบริหารความเสี่ยง ที่ดี เช่น การตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน นอกจากนี้ การฝึกฝนและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดจะช่วยให้คุณสามารถตีความสัญญาณได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

สรุป

กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่นคือเครื่องมืออันทรงพลังที่ทำให้นักเทรดสามารถมองเห็น “เรื่องราว” เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา การทำความเข้าใจองค์ประกอบของแท่งเทียนแต่ละแท่ง รวมถึงการตีความรูปแบบแท่งเทียนต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และนำไปสู่การ คาดการณ์ทิศทางราคา ที่ถูกต้อง

หัวใจสำคัญคือการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง และการประยุกต์ใช้กราฟแท่งเทียนร่วมกับ กลยุทธ์การเทรด และเครื่องมืออื่นๆ เพื่อสร้างระบบการเทรดที่แข็งแกร่ง อย่าลืมว่ายิ่งกรอบเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์ยาวนานเท่าใด ความน่าเชื่อถือของสัญญาณก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่รอบคอบและโอกาสในการทำกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว

เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะการเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น FTTInvesting ขอเสนอโอกาสพิเศษในการเข้าถึง ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA Indicator) และกลุ่ม Line VIP ฟรี เพียงแค่คุณสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือตามลิงก์ด้านล่างนี้ คุณก็สามารถเริ่มต้นเส้นทางการเทรดด้วยเครื่องมือระดับมืออาชีพได้ทันที:

เมื่อสมัครเสร็จสิ้น กรุณาส่งเลขบัญชี MT4 ของคุณไปที่ Line ID: @ft.th เพื่อขอรับ EA ฟรีทุกตัวและสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายในอนาคต

ช่องทางการติดต่อและพูดคุยเพิ่มเติม:

*คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

You Might Also Like