TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

วิธีการระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง

กันยายน 8, 2022

การระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง: หัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จในการซื้อขาย

ในโลกของการลงทุนและ การซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้น หรือ ตลาด Forex
แนวคิดพื้นฐานที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อการตัดสินใจของเทรดเดอร์ทั่วโลกคือ แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance)
ระดับเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเส้นบนกราฟราคา แต่เป็นโซนทางจิตวิทยาและเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงจุดที่อุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การทำความเข้าใจและสามารถระบุแนวรับและแนวต้านที่ “แข็งแกร่ง” ได้อย่างแม่นยำ จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาจุดกลับตัวของตลาด การกำหนดจุดหยุดการขาดทุน (Stop Loss) เพื่อ บริหารความเสี่ยง
หรือการกำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) อย่างปลอดภัย

บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของแนวรับและแนวต้าน อธิบายว่าเหตุใดระดับเหล่านี้จึงมีความสำคัญ
วิธีการระบุระดับที่แข็งแกร่งโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับการยอมรับ และนำเสนอ กลยุทธ์การซื้อขาย
ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการวิเคราะห์และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดที่ผันผวน

ระดับแนวรับในการซื้อขายคืออะไร?

ระดับแนวรับ
ในการซื้อขาย หมายถึง ระดับราคาหรือโซนที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับแนวโน้มขาลงของราคา
โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะ “รับ” การร่วงลง ณ จุดนี้เสมือนมีพื้นหรือกำแพงที่ป้องกันไม่ให้ราคาตกลงไปอีก

ทำไมแนวรับจึงเกิดขึ้น?

  • อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น: เมื่อราคาลดลงมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนและผู้ซื้อจะมองว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาที่น่าสนใจและคุ้มค่าแก่การซื้อ
    ทำให้ความต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • จิตวิทยาตลาด: ระดับราคาที่เคยเป็นจุดต่ำสุดในอดีต หรือจุดที่เคยมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างรุนแรง
    จะสร้างความทรงจำทางจิตวิทยาให้กับผู้เล่นในตลาด เมื่อราคากลับมาที่ระดับนั้นอีกครั้ง นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในลักษณะเดิม
  • การทำกำไรและ Stop Loss: ผู้ขายที่ Short Sell (ขายชอร์ต) สินทรัพย์ลงมา
    อาจตัดสินใจซื้อคืนเพื่อทำกำไร หรือเพื่อจำกัดการขาดทุน (Covering Short Positions) ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงซื้อเข้าสู่ตลาด

แนวรับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างไร?

แนวรับที่แข็งแกร่งมักจะมีลักษณะดังนี้:

  • การทดสอบหลายครั้ง: ระดับราคาที่ถูกทดสอบและยังคงรักษาระดับไว้ได้หลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อ ณ จุดนั้น
  • ปริมาณการซื้อขายสูง: การที่ราคาเด้งกลับจากแนวรับด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง บ่งบอกถึงการเข้าซื้อที่แข็งแกร่งของนักลงทุน
  • ความสอดคล้องกับตัวชี้วัดอื่น: หากแนวรับสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), ระดับ Fibonacci Retracement
    หรือเส้นแนวโน้ม (Trendline) จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ระดับแนวต้านในการซื้อขายคืออะไร?

ในทางตรงกันข้ามกับแนวรับ ระดับแนวต้าน
คือ ระดับราคาหรือโซนที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับแนวโน้มขาขึ้นของราคา
เสมือนมีเพดานที่ป้องกันไม่ให้ราคาสูงขึ้นไปอีก

ทำไมแนวต้านจึงเกิดขึ้น?

  • อุปทานที่เพิ่มขึ้น: เมื่อราคาสูงขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนและผู้ขายจะมองว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาสูงเกินไป
    และเป็นโอกาสที่ดีในการขายเพื่อทำกำไร ทำให้ความต้องการขายเพิ่มสูงขึ้น
  • จิตวิทยาตลาด: ระดับราคาที่เคยเป็นจุดสูงสุดในอดีต หรือจุดที่เคยมีแรงขายกลับเข้ามาอย่างรุนแรง
    จะสร้างความทรงจำทางจิตวิทยาให้กับผู้เล่นในตลาด เมื่อราคากลับมาที่ระดับนั้นอีกครั้ง นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในลักษณะเดิม
  • การตัดขาดทุนและ Stop Loss: ผู้ซื้อที่ติดดอย (ถือสถานะ Long ที่ขาดทุน) ในอดีต
    อาจตัดสินใจขายออกเมื่อราคาดีดกลับมาใกล้จุดที่พวกเขาซื้อ เพื่อลดการขาดทุน

แนวต้านที่แข็งแกร่งเป็นอย่างไร?

แนวต้านที่แข็งแกร่งมักจะมีลักษณะดังนี้:

  • การทดสอบหลายครั้ง: ระดับราคาที่ถูกทดสอบและยังคงกดราคาไม่ให้ทะลุขึ้นไปได้หลายครั้ง
    แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแรงขาย ณ จุดนั้น
  • ปริมาณการซื้อขายสูง: การที่ราคาถูกผลักกลับจากแนวต้านด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูง
    บ่งบอกถึงการเทขายที่แข็งแกร่งของนักลงทุน
  • ความสอดคล้องกับตัวชี้วัดอื่น: หากแนวต้านสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average),
    ระดับ Fibonacci Retracement หรือเส้นแนวโน้ม (Trendline) จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ทำไมแนวรับและแนวต้านจึงมีความสำคัญต่อการซื้อขาย?

การระบุแนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่เทรดเดอร์มืออาชีพใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขาย
ด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้:

จุดเข้าและออก (Entry and Exit Points)

แนวรับและแนวต้านช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุโซนที่มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะกลับตัว
ทำให้สามารถวางแผนจุดเข้าซื้อ (Buy) ใกล้แนวรับ หรือจุดขาย (Sell) ใกล้แนวต้านได้อย่างมีกลยุทธ์
ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงจากการเข้าซื้อขายที่จุดที่ไม่เหมาะสม

การกำหนด Stop Loss และ Take Profit

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของแนวรับและแนวต้านคือการช่วยในการ บริหารความเสี่ยง
และ การจัดการเงินทุน
เทรดเดอร์สามารถวางคำสั่งหยุดการขาดทุน (Stop Loss) ไว้ใต้แนวรับ (สำหรับการซื้อ) หรือเหนือแนวต้าน (สำหรับการขาย)
เพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้แนวรับและแนวต้านถัดไปเป็นเป้าหมายในการทำกำไร (Take Profit) ได้อีกด้วย

การยืนยันแนวโน้ม (Trend Confirmation)

เมื่อราคาทะลุแนวรับลงไป หรือทะลุแนวต้านขึ้นไป
นี่อาจเป็นสัญญาณที่ยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาด
เช่น การทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างแข็งแกร่งอาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน การหลุดแนวรับอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลง

การวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของตลาด (Market Strength Analysis)

การที่ราคาเข้าทดสอบแนวรับหรือแนวต้านหลายครั้งแต่ไม่สามารถทะลุไปได้
บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของระดับนั้น ๆ และการครอบงำของแรงซื้อหรือแรงขาย ณ จุดนั้น
ในทางกลับกัน การที่ราคาเพียงแค่ “สะกิด” แนวรับหรือแนวต้านแล้วกลับตัวอย่างรวดเร็ว
ก็เป็นสัญญาณว่าระดับนั้นอาจจะแข็งแกร่งเช่นกัน

การเลือกกรอบเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการระบุแนวรับและแนวต้าน

กรอบเวลา (Timeframe) ที่แตกต่างกันจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวรับและแนวต้านที่มีความน่าเชื่อถือต่างกัน
สำหรับ การระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง
ที่แท้จริงซึ่งมีผลต่อทิศทางของตลาดในระยะยาว เราขอแนะนำให้ใช้ กรอบเวลารายวัน (Daily Timeframe) เป็นหลัก

ทำไมกรอบเวลารายวันจึงดีที่สุด?

  • ลดสัญญาณรบกวน (Noise Reduction):
    กราฟรายวันจะกรองสัญญาณรบกวน (Noise) หรือความผันผวนเล็กน้อยที่มักเกิดขึ้นในกรอบเวลาที่สั้นกว่า
    ทำให้แนวรับและแนวต้านที่ปรากฏบนกราฟรายวันมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือมากกว่า
    เนื่องจากสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน
  • สะท้อนจิตวิทยาตลาดหลัก:
    การเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวันที่แสดงบนกราฟรายวัน บ่งบอกถึงความรู้สึกโดยรวมของตลาดในวงกว้าง
    ระดับ S&R ที่เกิดขึ้นบนกรอบเวลานี้มักเป็นระดับที่ผู้เล่นในตลาดจำนวนมากให้ความสำคัญทางจิตวิทยา
  • การเคลื่อนไหวที่สำคัญ:
    แนวรับและแนวต้านในกรอบเวลารายวันมักเป็นจุดที่เกิดการกลับตัวหรือการยืนยันแนวโน้มที่สำคัญ
    ซึ่งส่งผลต่อทิศทางของราคาในระยะกลางถึงระยะยาว

กฎ: ยิ่งกรอบเวลาสูง ยิ่งแข็งแกร่ง

กฎทองคำในการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านคือ “แนวรับและแนวต้านที่อยู่บนกรอบเวลาที่สูงกว่า
มีความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือมากกว่าแนวรับและแนวต้านที่อยู่บนกรอบเวลาที่ต่ำกว่า”

ดังนั้น การเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์กราฟรายวัน (หรือรายสัปดาห์/รายเดือน) เพื่อระบุระดับ S&R หลัก
ก่อนที่จะลงไปดูรายละเอียดในกรอบเวลาที่เล็กลง (เช่น 4 ชั่วโมง, 1 ชั่วโมง) เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายที่ดีที่สุด
เป็น กลยุทธ์แบบ Multi-Timeframe Analysis
ที่แนะนำอย่างยิ่ง

ถ้าคุณใช้กรอบเวลาที่ต่ำกว่า (เช่น 5 นาที, 15 นาที) ในการระบุ S&R เพียงอย่างเดียว
คุณจะพบกับสัญญาณหลอก (False Signals) และความผันผวนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มหลักของตลาดมากขึ้น
ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจซื้อขายที่ผิดพลาดและเพิ่มความเสี่ยงได้

เทคนิคการค้นหาแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งในกราฟรายวัน

การระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน
เทคนิคหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและได้รับการพิสูจน์แล้วคือการใช้ รูปแบบแท่งเทียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแท่งเทียน Engulfing (กลืนกิน) และ Pin Bar ในกรอบเวลารายวัน
ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวที่ทรงพลัง

แท่งเทียน Engulfing (กลืนกิน)

แท่งเทียน Engulfing
เป็นรูปแบบการกลับตัวที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่ง โดยแท่งเทียนที่สองจะมีลำตัวที่ใหญ่กว่าและ “กลืนกิน” แท่งเทียนแรกอย่างสมบูรณ์

  • Bullish Engulfing: เกิดขึ้นที่แนวโน้มขาลง แท่งเทียนขาลงสีแดง (หรือดำ) ถูกตามด้วยแท่งเทียนขาขึ้นสีเขียว (หรือขาว)
    ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยราคาเปิดของแท่งเขียวต่ำกว่าราคาปิดของแท่งแดง และราคาปิดของแท่งเขียวสูงกว่าราคาเปิดของแท่งแดง
    บ่งบอกถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล และเป็นสัญญาณของแนวรับที่มีศักยภาพ
  • Bearish Engulfing: เกิดขึ้นที่แนวโน้มขาขึ้น แท่งเทียนขาขึ้นสีเขียว (หรือขาว) ถูกตามด้วยแท่งเทียนขาลงสีแดง (หรือดำ)
    ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก โดยราคาเปิดของแท่งแดงสูงกว่าราคาปิดของแท่งเขียว และราคาปิดของแท่งแดงต่ำกว่าราคาเปิดของแท่งเขียว
    บ่งบอกถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างมหาศาล และเป็นสัญญาณของแนวต้านที่มีศักยภาพ

แท่งเทียน Pin Bar

แท่งเทียน Pin Bar
เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการกลับตัวที่สำคัญ มีลักษณะเด่นคือ มีไส้เทียน (Shadow) ที่ยาวมากในทิศทางเดียว
และมีลำตัว (Body) ที่เล็กมากอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง

  • Bullish Pin Bar: มีไส้เทียนด้านล่างที่ยาวมากและลำตัวอยู่ด้านบน บ่งบอกว่าผู้ขายพยายามผลักดันราคาลงแต่ถูกแรงซื้อดันกลับขึ้นมาอย่างรุนแรง
    เกิดขึ้นที่แนวโน้มขาลง เป็นสัญญาณของแนวรับที่มีศักยภาพ
  • Bearish Pin Bar: มีไส้เทียนด้านบนที่ยาวมากและลำตัวอยู่ด้านล่าง บ่งบอกว่าผู้ซื้อพยายามผลักดันราคาขึ้นแต่ถูกแรงขายกดกลับลงมาอย่างรุนแรง
    เกิดขึ้นที่แนวโน้มขาขึ้น เป็นสัญญาณของแนวต้านที่มีศักยภาพ

การที่แท่งเทียนเหล่านี้ปรากฏบน กราฟแท่งเทียน
รายวัน แสดงให้เห็นถึงการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง ณ ระดับนั้น ๆ ทำให้บริเวณสูงสุดหรือต่ำสุดของแท่งเทียนเหล่านี้
กลายเป็นโซนแนวรับหรือแนวต้านที่มีความน่าเชื่อถือสูง

การสร้างโซนแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Zones)

แทนที่จะวาดเพียงเส้นเดียว การวาด “โซน” แนวรับและแนวต้านจะมีความแม่นยำและใช้งานได้จริงมากกว่า
เนื่องจากตลาดไม่ได้เคลื่อนที่อย่างตายตัวตามจุดราคาเดียว แต่เป็นบริเวณ
การใช้โซนจะช่วยให้คุณมีพื้นที่ยืดหยุ่นในการตัดสินใจซื้อขาย

วิธีการสร้างโซน:

  1. สำหรับแนวต้าน (Resistance Zone): เมื่อพบแท่งเทียน Bearish Engulfing หรือ Bearish Pin Bar
    ให้ลากโซนจาก จุดสูงสุด (High) ของแท่งเทียนที่สอง (แท่งที่กลืนกิน)
    ไปยัง จุดสูงสุดของแท่งเทียนแรก (แท่งที่ถูกกลืนกิน)
    หรือในกรณีของ Pin Bar ให้ลากจากจุดสูงสุดของไส้เทียนยาวลงมาถึงลำตัวเทียนด้านบน
    แล้วขยายโซนนั้นไปทางขวา
  2. สำหรับแนวรับ (Support Zone): เมื่อพบแท่งเทียน Bullish Engulfing หรือ Bullish Pin Bar
    ให้ลากโซนจาก จุดต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนที่สอง (แท่งที่กลืนกิน)
    ไปยัง จุดต่ำสุดของแท่งเทียนแรก (แท่งที่ถูกกลืนกิน)
    หรือในกรณีของ Pin Bar ให้ลากจากจุดต่ำสุดของไส้เทียนยาวขึ้นมาถึงลำตัวเทียนด้านล่าง
    แล้วขยายโซนนั้นไปทางขวา

เคล็ดลับ: การวาดโซนด้วยวิธีนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นบริเวณที่ตลาดมีความลังเล
และมีแนวโน้มที่จะเกิดการกลับตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีต (Backtesting)
จะช่วยยืนยันความแม่นยำของโซนที่คุณวาดได้

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการค้นหาระดับ S&R ที่แข็งแกร่ง

เพื่อสรุปขั้นตอนในการระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่งอย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถทำตาม 3 ขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. เปิดกราฟรายวัน (Daily Chart) และมองหารูปแบบแท่งเทียนกลับตัว:
    มุ่งเน้นไปที่การค้นหาแท่งเทียน Engulfing (Bullish หรือ Bearish) หรือ Pin Bar (Bullish หรือ Bearish) ที่ “สดใหม่”
    หรือเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานบนกราฟรายวัน รูปแบบเหล่านี้บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาที่แข็งแกร่งในอดีต
  2. วาดโซนแนวรับหรือแนวต้าน:
    ตามหลักการที่อธิบายไว้ข้างต้น คือการลากโซนจากจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของแท่งเทียน Engulfing
    หรือ Pin Bar ที่คุณระบุได้ แล้วขยายโซนนั้นไปทางขวาของกราฟ
    นี่คือโซนที่คุณคาดการณ์ว่าราคาจะกลับตัวเมื่อเข้ามาทดสอบอีกครั้ง
  3. รอ Price Action
    ที่โซนในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า:

    เมื่อราคากลับเข้ามาทดสอบโซนแนวรับหรือแนวต้านที่คุณวาดไว้ ให้เปลี่ยนไปดูกราฟในกรอบเวลาที่ต่ำลง
    (เช่น 4 ชั่วโมง, 1 ชั่วโมง, 30 นาที) และมองหาสัญญาณ Price Action ที่ยืนยันการกลับตัว
    เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่ชัดเจน การเคลื่อนไหวของราคาที่แสดงถึงความอ่อนแรงของแนวโน้มเดิม

กลยุทธ์การซื้อขายด้วยแนวรับและแนวต้าน

การรู้ว่าแนวรับและแนวต้านอยู่ที่ไหนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการ
การจะเปลี่ยนความรู้นั้นให้เป็นกำไรได้จริง จำเป็นต้องมี กลยุทธ์การซื้อขาย
ที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการบริหารความเสี่ยงและอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสม
นี่คือกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วที่ผสมผสานการระบุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งเข้ากับการยืนยันด้วย Price Action:

การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe (Multi-Timeframe Analysis)

กลยุทธ์นี้อาศัยแนวคิดที่ว่าแนวรับและแนวต้านที่ระบุบนกรอบเวลาที่สูงกว่า
มีความน่าเชื่อถือมากกว่า การเทรดตามระดับเหล่านี้ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่าจะช่วยให้คุณได้จุดเข้าที่ดีขึ้น
และอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่สูงขึ้น

  1. ระบุ S&R ที่แข็งแกร่งบนกราฟรายวัน:
    ใช้เทคนิคการหาแท่งเทียน Engulfing หรือ Pin Bar บนกราฟรายวัน เพื่อวาดโซนแนวรับและแนวต้านหลัก
    เหล่านี้คือ “โซนทองคำ” ที่ตลาดมีแนวโน้มจะกลับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
  2. รอราคาเข้าสู่โซนและยืนยันด้วย Price Action ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า:
    เมื่อราคากลับมาทดสอบโซนที่คุณวาดไว้ในกราฟรายวัน ให้เปลี่ยนไปดูกราฟในกรอบเวลาที่สั้นลง (เช่น H4, H1)
    เพื่อมองหาสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน

การยืนยันด้วย Price Action Patterns

ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้านที่คุณระบุไว้ ให้มองหารูปแบบ Price Action ที่บ่งบอกถึงการกลับตัว
ซึ่งจะช่วยยืนยันการเข้าซื้อขายของคุณได้

  • รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick Patterns):
    นอกเหนือจาก Engulfing และ Pin Bar ที่ใช้ระบุโซนหลักแล้ว
    ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า คุณอาจเห็นรูปแบบกลับตัวอื่น ๆ เช่น
    Doji (Gravestone Doji, Dragonfly Doji),
    Shooting Star, Hammer, Morning Star, Evening Star
    รูปแบบเหล่านี้บ่งชี้ว่าแรงซื้อหรือแรงขายเดิมเริ่มอ่อนแรงลง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงทิศทาง
  • การเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจน:
    เช่น ราคาพยายามทะลุแนวต้านแต่ถูกผลักกลับอย่างรุนแรง ทำให้เกิดไส้เทียนยาวด้านบน (Upper Shadow)
    หรือราคาพยายามหลุดแนวรับแต่ถูกดันกลับขึ้นมา ทำให้เกิดไส้เทียนยาวด้านล่าง (Lower Shadow)

การบริหารความเสี่ยงและการตั้งค่า Stop Loss & Take Profit

นี่คือส่วนสำคัญที่สุดในการซื้อขายที่มีกำไรอย่างยั่งยืน

  • การตั้งค่า Stop Loss ที่ปลอดภัย:
    เมื่อคุณตัดสินใจเปิดคำสั่งซื้อขายตามสัญญาณ Price Action ที่แนวรับ/แนวต้าน
    ให้วางคำสั่งหยุดการขาดทุน (Stop Loss) ไว้อย่างปลอดภัย นอกโซนแนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง
    ตัวอย่างเช่น:

    • ซื้อ (Long) ที่แนวรับ: วาง Stop Loss ไว้ใต้โซนแนวรับลงไปเล็กน้อย
      เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับความผันผวนของราคา แต่ยังคงจำกัดการขาดทุนหากแนวรับนั้นถูกทำลายจริง
    • ขาย (Short) ที่แนวต้าน: วาง Stop Loss ไว้เหนือโซนแนวต้านขึ้นไปเล็กน้อย
      เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับความผันผวน แต่ยังคงจำกัดการขาดทุนหากแนวต้านนั้นถูกทำลายจริง

    การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถจำกัดความเสี่ยงในแต่ละการเทรดได้อย่างชัดเจน

  • การกำหนดเป้าหมายทำกำไร (Take Profit):
    คุณสามารถใช้แนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญถัดไปเป็นเป้าหมายในการทำกำไร
    หรือใช้ อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio)
    ที่แน่นอน เช่น 1:2 หรือ 1:3 หมายความว่าคุณตั้งเป้าหมายทำกำไรให้ได้ 2 หรือ 3 เท่าของจำนวนเงินที่คุณเสี่ยง
    เช่น หากคุณเสี่ยง 100 บาท คุณจะตั้งเป้าทำกำไร 200 หรือ 300 บาท

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: แนวรับและแนวต้านคืออะไร และแตกต่างกันอย่างไร?

แนวรับ (Support) คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับแนวโน้มขาลง
เปรียบเสมือนพื้นหรือฐานที่พยุงราคาไว้ แนวต้าน (Resistance) คือ
ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับแนวโน้มขาขึ้น
เปรียบเสมือนเพดานที่กดราคาไว้ไม่ให้สูงขึ้นไปอีก
ความแตกต่างหลักคือ แนวรับหยุดราคาไม่ให้ลดลง และแนวต้านหยุดราคาไม่ให้เพิ่มขึ้น

Q2: ทำไมกรอบเวลารายวันจึงสำคัญต่อการระบุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง?

กรอบเวลารายวันมีความสำคัญเนื่องจากสามารถกรอง “สัญญาณรบกวน” (Noise) หรือความผันผวนระยะสั้นที่ไม่สำคัญออกไปได้
ทำให้แนวรับและแนวต้านที่ปรากฏมีความน่าเชื่อถือสูงและสะท้อนถึงการตัดสินใจของนักลงทุนรายใหญ่และสถาบัน
ซึ่งมีอิทธิพลต่อทิศทางราคาในระยะยาวมากกว่า การใช้กรอบเวลาที่สูงกว่าช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดและลดโอกาสในการเกิดสัญญาณหลอก

Q3: การใช้แท่งเทียน Engulfing และ Pin Bar ในการระบุ S&R มีข้อดีอย่างไร?

แท่งเทียน Engulfing และ Pin Bar เป็นรูปแบบการกลับตัวที่ชัดเจนและทรงพลังบนกราฟราคา
เมื่อปรากฏขึ้นที่ระดับราคาสำคัญบนกรอบเวลารายวัน มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง
และแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ณ จุดนั้นๆ
ซึ่งทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นโซนแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งและมีความน่าเชื่อถือสูง
เหมาะสำหรับการใช้เป็นจุดอ้างอิงในการวางแผนการซื้อขาย

Q4: ควรตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างไรเมื่อใช้กลยุทธ์ S&R?

การตั้งค่า Stop Loss ควรวางไว้นอกโซนแนวรับ/แนวต้านที่คุณใช้เป็นจุดเข้าเล็กน้อย
เพื่อป้องกันความผันผวนระยะสั้นแต่ยังคงจำกัดการขาดทุน
เช่น หากซื้อที่แนวรับ ควรวาง Stop Loss ไว้ใต้แนวรับลงไป
ส่วน Take Profit สามารถกำหนดได้ที่แนวรับ/แนวต้านสำคัญถัดไป
หรือใช้อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3
ซึ่งหมายถึงการตั้งเป้าทำกำไรให้ได้ 2 หรือ 3 เท่าของความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

Q5: ระดับแนวรับและแนวต้านสามารถเปลี่ยนแปลงบทบาทกันได้หรือไม่?

ได้ ระดับแนวรับและแนวต้านสามารถเปลี่ยนแปลงบทบาทกันได้ หรือที่เรียกว่า “Role Reversal”
หากราคาเคลื่อนที่ทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างแข็งแกร่ง แนวต้านนั้นมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่เมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบ
ในทางกลับกัน หากราคาหลุดแนวรับลงไปอย่างรุนแรง แนวรับนั้นก็จะกลายเป็นแนวต้านใหม่เมื่อราคาดีดตัวกลับขึ้นมา
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากจิตวิทยาตลาดที่เปลี่ยนไปเมื่อระดับราคาสำคัญถูกทะลุ

บทสรุป

การทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญในการระบุแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเวลารายวัน
คือหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เทคนิคการใช้แท่งเทียน Engulfing และ Pin Bar
เพื่อกำหนด “โซน” แนวรับและแนวต้านนั้น ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึง Steve Nison
ผู้ริเริ่มการใช้แท่งเทียนญี่ปุ่นในการวิเคราะห์ตลาด

กลยุทธ์ที่นำเสนอในบทความนี้ ซึ่งเน้นการระบุระดับ S&R ที่แข็งแกร่งบนกรอบเวลารายวัน
และใช้การยืนยันด้วย Price Action ในกรอบเวลาที่ต่ำกว่า พร้อมกับการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ยังช่วยปกป้องเงินทุนของคุณอีกด้วย

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่า ไม่มีกลยุทธ์ใดสมบูรณ์แบบ 100% การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การจดบันทึกการซื้อขาย
และการมี วินัยในการซื้อขาย
เป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการซื้อขายของคุณให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น หรือต้องการเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ
อย่าลังเลที่จะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการซื้อขายอัตโนมัติ (EA) หรือเข้าร่วม ชุมชนนักลงทุนของเรา
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย

________________________________________________


✅
 
??
สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ

XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก

Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว

GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________


✅
 
♥️
 สอบถามเพิ่มเติมที่
?https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–

ติดตามเราได้ที่

?
LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )

?
Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line