TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
เทรดทองคำ

Swing Point ในการซื้อขายคืออะไร?

กันยายน 12, 2022

Swing Point ในการซื้อขาย Forex: กลยุทธ์การระบุและการใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรสูงสุด

Swing Point ในการซื้อขาย

Introduction: ในโลกของการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex ตลาดหุ้น หรือ ตลาดทองคำ การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานแต่ทรงพลังที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ “Swing Point” หรือจุดกลับตัวของราคา Swing Point ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดบนกราฟ แต่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนในการเข้าหรือออกจากการซื้อขายได้อย่างแม่นยำ บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ประเภท วิธีการระบุ ความสำคัญ และกลยุทธ์การใช้งาน Swing Point อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสูงสุด

Swing Point คืออะไร?

Swing Point คือจุดราคาที่ตลาดมีการพลิกกลับของแนวโน้ม ไม่ว่าจะเป็นการกลับตัวเล็กน้อย (Minor Reversal) หรือการกลับตัวหลัก (Major Reversal) โดยจุดเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนบน กราฟแท่งเทียน หรือกราฟราคาประเภทอื่น ๆ Swing Point เป็นองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์ Price Action ซึ่งเป็นการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาเปล่าๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาอินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนมากนัก

ทำไม Swing Point ถึงมีความสำคัญในการซื้อขาย?

Swing Point มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนและนักเก็งกำไรด้วยเหตุผลหลายประการ:

  • ตัวบ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้ม: Swing Point ทำหน้าที่เป็น “ตัวบ่งชี้ชั้นนำ” (Leading Indicator) ที่สามารถคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้มในอนาคตได้ล่วงหน้า ต่างจากอินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่ที่เป็น “ตัวบ่งชี้ตามหลัง” (Lagging Indicator) ซึ่งจะส่งสัญญาณเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนไปแล้ว
  • การระบุแนวรับและแนวต้าน: จุด Swing High และ Swing Low มักจะทำหน้าที่เป็นระดับ แนวรับและแนวต้าน ที่สำคัญทางจิตวิทยา ยิ่งราคาชนแล้วเด้งกลับจากจุด Swing Point บ่อยครั้งเท่าใด ระดับนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น นักเทรดสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนจุดเข้าซื้อ (Entry Point) จุดออก (Exit Point) และการกำหนด Stop Loss (SL) หรือ Take Profit (TP)
  • ช่วยในการวาด Trendline: การวาด Trendline หรือเส้นแนวโน้มที่ถูกต้องและแม่นยำ จำเป็นต้องใช้ Swing Point เป็นจุดอ้างอิง การเชื่อมต่อระหว่าง Swing Lows ที่เพิ่มขึ้นจะสร้าง Trendline ขาขึ้น ในขณะที่การเชื่อมต่อระหว่าง Swing Highs ที่ลดลงจะสร้าง Trendline ขาลง ซึ่งช่วยให้นักเทรดเห็นทิศทางของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
  • โครงสร้างตลาด: Swing Point ช่วยให้นักเทรดเข้าใจ โครงสร้างตลาด (Market Structure) โดยเฉพาะการสร้าง Higher Highs (HH), Higher Lows (HL) ในแนวโน้มขาขึ้น และ Lower Highs (LH), Lower Lows (LL) ในแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการวิเคราะห์ Dow Theory

การทำความเข้าใจ Swing Point อย่างลึกซึ้งจึงเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศนำทางในตลาดที่ผันผวน ช่วยให้คุณสามารถอ่านแผนที่ราคาและตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

การระบุ Swing Point ในการซื้อขาย: 2 ประเภทหลัก

Swing Point แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการระบุและการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดอย่างแม่นยำ

Swing Point ในการซื้อขาย

1. Swing High (จุดสูงสุดกลับตัว)

Swing High คืออะไร: Swing High คือจุดสูงสุดของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่แรงซื้อเริ่มอ่อนแรงลงและแรงขายเริ่มเข้าควบคุมตลาด ทำให้ราคาเกิดการกลับตัวเป็นขาลงชั่วคราวหรือเป็นการเริ่มต้นแนวโน้มขาลงใหม่

วิธีการระบุ Swing High: การระบุ Swing High ด้วยตาเปล่าบนกราฟแท่งเทียนนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยมีหลักการดังนี้:

  1. หาแท่งเทียนที่ทำราคาสูงสุด (High) ในช่วงนั้น
  2. สังเกตแท่งเทียนที่อยู่ทางด้านซ้าย 2 แท่ง: แท่งเทียน 2 แท่งทางซ้ายของแท่งสูงสุดจะต้องมี High ที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ High ของแท่งสูงสุด
  3. สังเกตแท่งเทียนที่อยู่ทางด้านขวา 2 แท่ง: แท่งเทียน 2 แท่งทางขวาของแท่งสูงสุดจะต้องมี High ที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ High ของแท่งสูงสุด

แท่งเทียนตรงกลางที่ทำราคาสูงสุด และมีแท่งเทียนด้านข้างทั้งสองฝั่ง (อย่างน้อยฝั่งละ 2 แท่ง) ที่มีราคาสูงสุดที่ต่ำกว่าหรือเท่ากัน จะถูกเรียกว่า Swing High

ประเภทของ Swing Point

การใช้งาน Swing High: Swing High มักถูกใช้เป็นระดับแนวต้าน (Resistance Level) ที่สำคัญทางจิตวิทยา เมื่อราคากลับมาทดสอบ Swing High เก่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะถูกปฏิเสธและกลับตัวลงอีกครั้ง นักเทรดสามารถใช้ Swing High ในการ:

  • กำหนดจุดเข้า Short Position: หากราคากลับมาทดสอบ Swing High และมีสัญญาณการกลับตัวลง (เช่น Doji, Shooting Star) อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเปิด Short Position
  • กำหนด Stop Loss: หากคุณเปิด Long Position การวาง Stop Loss เหนือ Swing High ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคากลับตัวลง
  • ระบุการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: การที่ราคาไม่สามารถทำ Higher Highs ได้อีกต่อไปและเริ่มสร้าง Swing Highs ที่ลดลง อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงใหม่

Swing High

2. Swing Low (จุดต่ำสุดกลับตัว)

Swing Low คืออะไร: Swing Low คือจุดต่ำสุดของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่แรงขายเริ่มอ่อนแรงลงและแรงซื้อเริ่มเข้าควบคุมตลาด ทำให้ราคาเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้นชั่วคราวหรือเป็นการเริ่มต้นแนวโน้มขาขึ้นใหม่

วิธีการระบุ Swing Low: การระบุ Swing Low ก็มีหลักการที่คล้ายคลึงกับ Swing High แต่กลับกัน:

  1. หาแท่งเทียนที่ทำราคาต่ำสุด (Low) ในช่วงนั้น
  2. สังเกตแท่งเทียนที่อยู่ทางด้านซ้าย 2 แท่ง: แท่งเทียน 2 แท่งทางซ้ายของแท่งต่ำสุดจะต้องมี Low ที่สูงกว่าหรือเท่ากับ Low ของแท่งต่ำสุด
  3. สังเกตแท่งเทียนที่อยู่ทางด้านขวา 2 แท่ง: แท่งเทียน 2 แท่งทางขวาของแท่งต่ำสุดจะต้องมี Low ที่สูงกว่าหรือเท่ากับ Low ของแท่งต่ำสุด

แท่งเทียนตรงกลางที่ทำราคาต่ำสุด และมีแท่งเทียนด้านข้างทั้งสองฝั่ง (อย่างน้อยฝั่งละ 2 แท่ง) ที่มีราคาต่ำสุดที่สูงกว่าหรือเท่ากัน จะถูกเรียกว่า Swing Low

การใช้งาน Swing Low: Swing Low มักถูกใช้เป็นระดับแนวรับ (Support Level) ที่สำคัญทางจิตวิทยา เมื่อราคากลับมาทดสอบ Swing Low เก่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะถูกปฏิเสธและกลับตัวขึ้นอีกครั้ง นักเทรดสามารถใช้ Swing Low ในการ:

  • กำหนดจุดเข้า Long Position: หากราคากลับมาทดสอบ Swing Low และมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น (เช่น Bullish Engulfing, Hammer) อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเปิด Long Position
  • กำหนด Stop Loss: หากคุณเปิด Short Position การวาง Stop Loss ใต้ Swing Low ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคากลับตัวขึ้น
  • ระบุการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม: การที่ราคาไม่สามารถทำ Lower Lows ได้อีกต่อไปและเริ่มสร้าง Swing Lows ที่สูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นใหม่

Price Wave และความสัมพันธ์กับ Swing Point

ในตลาดการเงิน ราคาไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่จะเคลื่อนที่ในลักษณะที่เป็นคลื่น (Wave) เสมือนคลื่นไซน์ (Sine Wave) ในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยจุดสูงสุดและต่ำสุดสลับกันไปอย่างเป็นธรรมชาติ แนวคิดเรื่อง Price Wave หรือ “คลื่นราคา” นี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ Swing Point เนื่องจาก Swing Point คือจุดสูงสุดและต่ำสุดเหล่านั้นบนกราฟราคา

ลักษณะของคลื่นราคาในตลาดจริง

แม้ว่าคลื่นไซน์ในอุดมคติจะมีรูปแบบที่สมบูรณ์แบบ แต่ในตลาดจริง คลื่นราคาจะมีความซับซ้อนและไม่สมมาตรเสมอไป เราสามารถแบ่งคลื่นราคาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่:

  1. คลื่น Impulse (Impulsive Wave): คือการเคลื่อนไหวของราคาที่ไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก เป็นคลื่นที่มีพลังและเคลื่อนที่ได้ไกลกว่า
  2. คลื่น Corrective (Corrective Wave) หรือคลื่นย้อนกลับ: คือการเคลื่อนไหวของราคาที่ย้อนกลับหรือพักตัวจากแนวโน้มหลัก เป็นคลื่นที่มีพลังน้อยกว่าและมักจะสั้นกว่า

ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) คลื่น Impulse จะเป็นการเคลื่อนที่ขึ้น (Bullish Movement) และคลื่น Corrective จะเป็นการเคลื่อนที่ลง (Bearish Movement) ในทางกลับกัน ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) คลื่น Impulse จะเป็นการเคลื่อนที่ลง (Bearish Movement) และคลื่น Corrective จะเป็นการเคลื่อนที่ขึ้น (Bullish Movement)

Price Wave และ Swing Point

Swing High จะเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่น Impulse ขาขึ้นและจุดเริ่มต้นของคลื่น Corrective ขาลง ในขณะที่ Swing Low จะเป็นจุดสิ้นสุดของคลื่น Corrective ขาลงและจุดเริ่มต้นของคลื่น Impulse ขาขึ้น การเข้าใจความสัมพันธ์นี้ช่วยให้นักเทรดสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคาในอนาคตได้ดีขึ้น

ความสำคัญและประโยชน์ของ Swing Highs และ Lows ในการซื้อขาย

การเข้าใจและสามารถระบุ Swing Highs และ Lows ได้อย่างถูกต้องเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเทรด Price Action ทุกคน เพราะมันมอบประโยชน์มากมายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายที่สำคัญ

1. การยืนยันการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่

หนึ่งในประโยชน์หลักของ Swing Highs และ Lows คือการเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่:

  • การก่อตัวของ Swing Low: เมื่อตลาดมีการสร้าง Swing Low และตามมาด้วย Higher Low (HL) และ Higher High (HH) อย่างต่อเนื่อง จะเป็นสัญญาณที่มีความน่าจะเป็นสูงว่าตลาดกำลังเข้าสู่ แนวโน้มขาขึ้นใหม่ (Bullish Trend)
  • การก่อตัวของ Swing High: ในทางกลับกัน เมื่อตลาดสร้าง Swing High และตามมาด้วย Lower High (LH) และ Lower Low (LL) อย่างต่อเนื่อง จะบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของ แนวโน้มขาลงใหม่ (Bearish Trend)

การที่คลื่นราคา (Impulse และ Corrective) ครบสมบูรณ์และเกิดการก่อตัวของ Swing Low หรือ Swing High ที่สำคัญ มักจะเป็นจุดกลับตัวของแนวโน้มที่มีความน่าเชื่อถือสูง ดังที่แสดงในภาพด้านล่าง

ความสำคัญของ Swing Point

2. การวาด Trendline และระดับแนวรับแนวต้านที่แม่นยำ

Swing Point เป็นรากฐานสำคัญในการวาดเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ:

  • Trendline: จุดสัมผัสของ Trendline ที่ถูกต้องมักจะเป็นจุด Swing Point ไม่ว่าจะเป็น Swing Lows สำหรับ Trendline ขาขึ้น หรือ Swing Highs สำหรับ Trendline ขาลง การเชื่อมต่อจุด Swing Point ที่สำคัญจะทำให้ Trendline มีความน่าเชื่อถือและสะท้อนทิศทางราคาได้ดีขึ้น หากจุดราคาที่คุณกำลังจะลาก Trendline ไม่ใช่ Swing Point ที่ชัดเจน ควรหลีกเลี่ยงการใช้จุดนั้น เพราะอาจทำให้ Trendline ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
  • แนวรับและแนวต้าน: ดังที่กล่าวไปแล้ว Swing Highs และ Swing Lows เป็นระดับแนวรับและแนวต้านตามธรรมชาติของตลาด การที่ราคาชนแล้วกลับตัวจากจุดเหล่านี้ซ้ำ ๆ บ่งชี้ถึงโซนที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาที่นักลงทุนเฝ้าจับตา

3. การระบุรูปแบบกราฟ (Chart Patterns)

รูปแบบกราฟต่าง ๆ เช่น Head and Shoulders, Double Top/Bottom, Wedge Pattern ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นจาก Swing Highs และ Lows การทำความเข้าใจ Swing Point จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการระบุและตีความรูปแบบกราฟเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้คุณคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้

4. การกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม

การใช้ Swing Point ในการกำหนด Stop Loss และ Take Profit เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ:

  • Stop Loss: สำหรับ Long Position สามารถวาง Stop Loss ใต้ Swing Low ล่าสุด ในทางกลับกัน สำหรับ Short Position สามารถวาง Stop Loss เหนือ Swing High ล่าสุด
  • Take Profit: สามารถกำหนด Take Profit ที่ Swing High ถัดไปในแนวโน้มขาขึ้น หรือ Swing Low ถัดไปในแนวโน้มขาลง เพื่อจับกำไรที่ระดับสำคัญ

เคล็ดลับและกฎสำคัญในการใช้ Swing Point

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ Swing Point ในการซื้อขาย นักเทรดควรพิจารณาเคล็ดลับและกฎเกณฑ์ดังต่อไปนี้:

  1. ใช้ Multiple Timeframes: การยืนยัน Swing Point ในหลาย Timeframe จะเพิ่มความน่าเชื่อถือ ตัวอย่างเช่น หาก Swing High ปรากฏใน Timeframe H1 และ H4 พร้อมกัน แสดงว่าเป็นจุดกลับตัวที่มีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้น
  2. พิจารณาสภาพคล่อง (Liquidity): Swing Point ที่เกิดขึ้นในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า เนื่องจากเป็นการสะท้อนพฤติกรรมของนักลงทุนจำนวนมาก
  3. ระวัง False Breakouts: บางครั้งราคาอาจทะลุ Swing Point เพียงชั่วคราวแล้วกลับเข้าสู่กรอบเดิม ซึ่งเรียกว่า False Breakout การยืนยันการ Breakout ที่แท้จริงคือการที่ราคาปิดเหนือหรือใต้ Swing Point อย่างชัดเจนและมีการเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางนั้น
  4. รวมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ: ไม่ควรใช้ Swing Point เพียงลำพัง ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือหรือแนวคิดอื่น ๆ เช่น อินดิเคเตอร์ (RSI, MACD), รูปแบบแท่งเทียน, Fibonacci Retracement เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
  5. ฝึกฝนด้วยบัญชี Demo: ก่อนที่จะนำไปใช้ในการซื้อขายจริง ควรฝึกฝนการระบุและใช้งาน Swing Point บน บัญชี Demo เพื่อสร้างความเข้าใจและประสบการณ์

FAQ Section: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Swing Point

Q1: Swing Point แตกต่างจากแนวรับแนวต้านปกติอย่างไร?

A1: Swing Point คือจุดราคาที่เกิดขึ้นจากการกลับตัวของแนวโน้ม โดยเฉพาะ Swing High และ Swing Low ในขณะที่แนวรับแนวต้านอาจเป็นได้ทั้ง Swing Point หรือระดับราคาสำคัญอื่นๆ ที่ตลาดเคยมีการกลับตัวหรือติดขัดมาก่อน พูดง่ายๆ คือ Swing Point เป็นประเภทหนึ่งของแนวรับแนวต้านที่เกิดจากการสวิงของราคาอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะมีนัยสำคัญในการบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมตลาด

Q2: อินดิเคเตอร์ใดบ้างที่ช่วยในการระบุ Swing Point?

A2: แม้ว่าการวิเคราะห์ Price Action ด้วยตาเปล่าจะดีที่สุด แต่ก็มีอินดิเคเตอร์บางตัวที่ช่วยเน้น Swing Point ให้ชัดเจนขึ้น เช่น ZigZag Indicator ซึ่งจะลากเส้นเชื่อมต่อระหว่าง Swing Highs และ Lows ให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการระบุจุดสูงสุด/ต่ำสุด เช่น Fractals หรือ Pivot Points ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การเข้าใจหลักการ Price Action ด้วยตนเองจะทำให้คุณระบุ Swing Point ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำกว่าการพึ่งพาอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียว

Q3: Swing Point มีผลต่อการซื้อขายใน Timeframe ที่แตกต่างกันอย่างไร?

A3: Swing Point สามารถพบได้ในทุก Timeframe ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงกราฟรายเดือน โดยทั่วไปแล้ว Swing Point ที่เกิดขึ้นใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า (เช่น H4, Daily, Weekly) จะมีความสำคัญและน่าเชื่อถือมากกว่า Swing Point ใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M5, M15) เนื่องจากสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่ใหญ่กว่าและมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจ นักเทรดมืออาชีพมักจะใช้ Swing Point ใน Timeframe ที่ใหญ่กว่าเพื่อกำหนดแนวโน้มหลักและใช้ Swing Point ใน Timeframe ที่เล็กกว่าเพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำ

Q4: หากราคา Breakout ทะลุ Swing Point ไปแล้ว ควรทำอย่างไร?

A4: หากราคา Breakout ทะลุ Swing Point อย่างชัดเจน (เช่น ปิดแท่งเทียนเหนือ Swing High หรือใต้ Swing Low) นั่นหมายความว่าแนวรับหรือแนวต้านที่เคยแข็งแกร่งได้ถูกทำลายลงแล้ว ในกรณีนี้ Swing Point เดิมมักจะเปลี่ยนบทบาทไป เช่น Swing High ที่ถูกทะลุขึ้นไปจะกลายเป็นแนวรับใหม่ หรือ Swing Low ที่ถูกทะลุลงไปจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ นักเทรดสามารถมองหาโอกาสในการเข้าเทรดตามทิศทาง Breakout โดยอาจรอการ Retest ที่ Swing Point เดิมก่อนเข้าออเดอร์ เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มใหม่

Q5: Swing Point ใช้กับการเทรดแบบ Scalping ได้หรือไม่?

A5: ได้อย่างแน่นอน Swing Point เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเทรดแบบ Scalping ซึ่งเป็นการเทรดระยะสั้นเพื่อทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ โดยการระบุ Swing Highs และ Lows ใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น M1, M5) จะช่วยให้ Scalper สามารถหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำเพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม การเทรดแบบ Scalping จำเป็นต้องใช้ความรวดเร็วและวินัยสูงในการตัดสินใจ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาใน Timeframe ที่เล็กอาจมีความผันผวนสูงและมีสัญญาณรบกวน (Noise) มากกว่า

Conclusion: สรุปและการต่อยอดสู่การทำกำไรอย่างยั่งยืน

การทำความเข้าใจ Swing Point ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนรู้คำศัพท์ทางเทคนิค แต่เป็นการเรียนรู้ภาษาของตลาด ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ Price Action ที่มีประสิทธิภาพ Swing Highs และ Swing Lows เป็นกุญแจสำคัญในการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้ม การสร้างแนวรับและแนวต้าน การวาด Trendline ที่แม่นยำ และการทำความเข้าใจโครงสร้างตลาดโดยรวม

การเพิกเฉยต่อ Swing Point อาจนำไปสู่การตีความรูปแบบกราฟและแนวโน้มที่ผิดพลาด ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจซื้อขายของคุณไม่แม่นยำและเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ดังนั้น การฝึกฝนการระบุ Swing Point ด้วยตาเปล่าบนกราฟราคาจริงอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเทรดทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การทำความเข้าใจพื้นฐานที่แข็งแกร่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนา กลยุทธ์การซื้อขาย ของตนเองได้อย่างมั่นคง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว

เริ่มต้นจากการฝึกฝนการมองหา Swing Point ใน Timeframe ต่างๆ และสังเกตว่าราคาตอบสนองอย่างไรเมื่อชนกับจุดเหล่านี้ เมื่อคุณมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งแล้ว คุณจะสามารถนำความรู้นี้ไปต่อยอดกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูงอื่นๆ และก้าวสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

________________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
✅ ??สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
✅ ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่?https://bit.ly/MTRatsamee
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
?LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
?Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________

You Might Also Like

Contact Us on Line