การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

ตุลาคม 24, 2025

🔹 การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

ไม่ว่าคุณจะเทรดเก่งแค่ไหน หรือระบบเทรดของคุณจะแม่นยำเพียงใด
แต่ถ้าคุณ “ไม่รู้จักการบริหารความเสี่ยง” — พอร์ตของคุณก็สามารถพังได้ภายในไม่กี่วัน

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) จึงเป็นหัวใจหลักของการเทรดระยะยาว
มันคือศิลปะของ “การปกป้องเงินทุน” ก่อนที่จะคิดถึงการทำกำไร

Risk Management หมายถึง “กระบวนการจัดการความเสี่ยงในการเทรด”
หรือพูดง่าย ๆ คือ การวางแผนให้รู้ล่วงหน้าว่า

❝ ถ้าเราผิดทาง จะขาดทุนเท่าไหร่ และเรารับได้ไหม ❞

มันคือการควบคุมความเสียหาย เพื่อให้เราอยู่ในตลาดได้ต่อไป
เพราะถ้าเราหมดทุนก่อน จะไม่มีโอกาสทำกำไรอีกเลย

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำคือ “เปิดล็อตใหญ่เกินไป”
แม้ระบบจะดี แต่ขนาดล็อตไม่สมดุลกับพอร์ต ก็ทำให้ความเสี่ยงสูงจนพังได้

กำหนดว่า “ยอมขาดทุนได้กี่เปอร์เซ็นต์ต่อออเดอร์”
- มือใหม่แนะนำไม่เกิน 1–2% ของเงินทุน
หาจำนวน Pip ที่คุณจะตั้ง Stop Loss
ใช้สูตร:

ขนาดล็อต = (จำนวนเงินที่ยอมเสี่ยง) / (จำนวน Pip ของ SL × มูลค่าต่อ Pip)

📌 ตัวอย่าง:

ดังนั้น ขนาดล็อต = 100 / (50 × 10) = 0.20 lot

นี่คือการเทรดที่ “มีแผนและควบคุมได้”

คือ “จุดตัดขาดทุน” ที่กำหนดไว้ก่อนเข้าเทรด เพื่อจำกัดการเสียหาย
ตั้ง SL ทุกครั้ง แม้จะมั่นใจแค่ไหนก็ตาม เพราะตลาดไม่มีอะไรแน่นอน

คือ “จุดทำกำไร” ที่ช่วยให้เราปิดออเดอร์ได้อย่างมีระบบ ไม่โลภ
ตั้ง TP โดยอิงจากอัตราส่วน “ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” (Risk/Reward Ratio)

💬 ตัวอย่าง: RR 1:2
เสี่ยง 50 pip เพื่อหวังผล 100 pip
หมายความว่า ชนะครั้งเดียวสามารถล้างขาดทุนจากการแพ้สองครั้งได้

นี่คือหลักคิดของเทรดเดอร์ระดับโลกเกือบทุกคน

“การเทรดที่ดีไม่ใช่เทรดให้ได้กำไรเยอะ แต่คือเทรดให้แพ้ได้อย่างปลอดภัย”

ถ้าคุณเน้น “ความอยู่รอด” เป็นหลัก คุณจะไม่เทรดแบบเสี่ยงทั้งหมดในครั้งเดียว
คุณจะวางแผนให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง แม้จะช้าแต่ยั่งยืน

💬 คิดง่าย ๆ แบบนี้:

จะเห็นว่าการเสียทุนหนัก ๆ ทำให้การฟื้นตัวยากมาก
ดังนั้น “การไม่เสีย” สำคัญกว่า “การได้” เสมอ

💬 “การบริหารความเสี่ยงคือเกราะป้องกันพอร์ต
และคือสิ่งที่แยกเทรดเดอร์มือสมัครเล่นออกจากมืออาชีพ”