เทรด Forex สร้างรายได้จริงไหม?


สุดยอดเว็บแจกโปรแกรมช่วยเทรดอันดับหนึ่งของประเทศ
เทรด Forex สร้างรายได้จริงไหม?
3 กลยุทธ์ระบบเทรดสั้น (Short-term Trading) ที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุด
14 รูปแบบกราฟแท่งเทียนที่ใช้บ่อยในการเทรด Forex
14 รูปแบบกราฟแท่งเทียนที่ใช้บ่อยในระบบเทรด Forex สำหรับในตลาด Forex นั้นนักเทรดสามารถเลือก Time Frame ที่เหมาะกับกลยุทธการเทรดได้ตามความเหมาะสม กราฟแท่งเทียนจะโชว์ผลของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเวลาจะเป็นตัวกำหนดความยาวของกราฟแท่งเทียนและรูปทรง ในตลาดหุ้นที่ราคามีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รูปของแท่งเทียนที่สามารถเกิดขึ้นจึงมีมากมายหลายรูปแบบ ถ้าจะให้จำรูปแบบของแท่งเทียนให้ครบทุกรูปแบบที่มี เราได้ยกตัวอย่างรูปแบบที่ใช้บ่อยในการเทรด Forex มาให้ ดังนี้
#รูปแบบแท่งเทียน Bearish มักจะเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้นและส่งสัญญาณถึงจุดต้าน เกี่ยวกับราคาตลาดมักทำให้ผู้ค้าปิดสถานะ Long และเปิดสถานะ Short เพื่อใช้ประโยชน์จากราคาที่ตกลงมา ได้แก่
_____________________________________________
1. Hanging Man
คือ รูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นใกล้จังหวะสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น
ลักษณะ : แท่งเทียนจะมีหาง (Lower Shadow) ยาวเป็น 2 เท่าของตัวแท่งที่เกิดในแนวโน้มขาขึ้น
แนวโน้ม : เกิดจากแรงขายที่เข้ามามากกว่าปกติ และฝั่งซื้อเริ่มน้อยลง จะบ่งบอกถึงโอกาสกลับตัวเป็นขาลง
_____________________________________________
2.Shooting Star
คือ รูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นใกล้จังหวะสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น
ลักษณะ : เป็นกราฟแท่งเทียนที่มีรูปแบบคล้ายดาวตก Body สั้น และมีหางด้านบน โดยเกิดขึ้นในช่วงแนวโน้มเทรดขาขึ้น
แนวโน้ม : โอกาสกลับตัวจากเทรนขาขึ้นเป็นขาลง อธิบายได้ว่าแรงกำลังการซื้อพยายามดันราคาให้ขึ้นไปต่อ แต่มีแรงขายเข้ามามากจนกดดันราคาลงมาให้ปิดต่ำซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนทิศทาง
_____________________________________________
3.Bearish Engulfing
คือ สัญญาณทางเทคนิค ที่ส่งสัญญาณบอกการกลับตัวของราคาเป็นขาลง ซึ่งเกิดในสภาวะตลาดขาขึ้น
ลักษณะ : เป็นกราฟแท่งแรกสีเขียวจะเล็กกว่าแท่งที่สอง เป็นรูปแบบการกลับตัวมักเกิดในสภาวะตลาดขาขึ้น
แนวโน้ม : หุ้นมีแนวโน้วที่จะเป็นขาลงปิดต่ำ เนื่องจากกราฟแท่งที่สองมีแรงซื้อที่ต่ำ
_____________________________________________
4.Dark Cloud Cover
คือ เป็นรูปแบบผวนกลับที่ต่ำลงซึ่งจะถูกสร้างขึ้นหลังจากมีแนวโน้มขาขึ้น
ลักษณะ : ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกสีเขียวยาวปิดสูง แท่งที่สองราคาเปิด Gap แต่ไม่สามารถได้ราคาลงมาปิดต่ำเกิน 50% รูปแบบการกลับตัวมักเกิดขึ้นในสภาวะตลาดขาขึ้น
แนวโน้ม : จะมีแรงขายเข้ามาในวันที่สอง คือถ้าแรงซื้อถดถอยก็อาจเปลี่ยนเป้นขาลงได้
_____________________________________________
5.Three Black Crows
คือ เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยปกติจะแสดงขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น
ลักษณะ : ประกอบด้วยแท่งเทียนสีแดงยาวติดต่อกัน 3 แท่ง โดยจะเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงในฐานะผู้ขาย
แนวโน้ม : จะเป็นการเปิดราคาใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าแต่จะค่อย ๆ ลดลงตามกาลเวลา จะตีความได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาลง
เนื่องจากผู้ขายแซงหน้าผู้ซื้อในช่วงสามวันทำการซื้อขายต่อเนื่องกัน
_____________________________________________
6. Evening Star
คือ แท่งเทียนขาลง 3 แท่งซึ่งเกิดขึ้นหลังจากแท่งเทียนก่อนหน้านั้นเป็นขาขึ้น (Uptrend) โดยเมื่อรูปแบบ Evening Star ปรากฎขึ้น มักใช้เพื่อค้นหาจุดสูงสุดของแนวโน้มตลาด
ลักษณะ : เป็นรูปแท่งเทียนสั้น ๆ คั่นกลางระหว่างแท่งเทียนสีเขียวยาวและแท่งเทียนสีแดง จะเป็นจุดเริ่มต้นในการขาลง
แนวโน้ม : จะบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงเพื่อลดกำไรก่อนหน้านี้
_____________________________________________
7.Bearish Doji
คือ เป็นสัญญาณที่บอกถึงว่าตลาดกำลังจะเข้าสู่ตลาดขาลง ส่วนมากจะเกิดใกล้จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น แสดงให้เห็นถึงความลังเลของตลาดว่าราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ควรหาจุดขาย
ลักษณะ : ประกอบด้วยเทียน 2 แท่ง โดยเป็นรูปแบบการกลับตัวระยะสั้นจากขึ้นเป็นลง
แนวโน้ม : ฝ่ายซื้ออาจไม่ได้มีนัยยะจริงและอาจมีแรงขายที่ซ่อนอยู่ดูได้จากราคาวันถัดไปที่ไม่สามารถไปต่อได้ มีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นลงในวันถัดไป
รูปแบบของแท่งเทียนแบบ Bullishเป็นการก่อตัวขึ้นหลังจากตลาดขาลง และส่งสัญญาณการกลับตัวของการเคลื่อนไหวของราคา เป็นตัวบ่งชี้สำหรับผู้ค้าในการพิจารณาเปิดสถานะระยะยาวเพื่อทำกำไรจากทิศทางขาขึ้น
_____________________________________________
8.Hammer
คือ แสดงถึงจุดกลับตัวหลังจากที่หุ้นลงมาพอสมควร บ่งบอกว่ามีแรงซื้อกลับค่อนข้างมาก ทำให้หุ้นปิด ณ ราคาจุดสูงสุด หรือเกือบจะสูงสุด
ลักษณะ : กราฟแท่งเทียนที่รูปแบบคล้ายค้อนจะเป็นรูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นในสภาวะตลาดขาลง
แนวโน้ม : การเกิด Hammer บ่งบอกถึงแรงขายในช่วงแรกที่มีการซื้อกลับมาอย่างมากในระหว่างวัน ทำให้มีโอกาสการกลับตัวเป็นขาขึ้น
_____________________________________________
9.Invert Hammer
คือ รูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นในสภาวะตลาดขาลง
ลักษณะ : กราฟแท่งเทียนที่รูปแบบคล้ายค้อนจะเป็นรูปแบบการกลับหัวค้อนลง Body สั้น แต่มีหางด้านบน มีราคาปิดต่ำ เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง
แนวโน้ม : บ่งบอกถึงการที่เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา อาจมีแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
_____________________________________________
10.Bullish Engulfing
คือ บ่งบอกว่ามีแรงซื้อเข้ามาและเหนือกว่าแรงขายมาก ทำให้กราฟเทียนพุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น
ลักษณะ : ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกสีแดง Body แท่งสองราคาเปิด Gap ลง กลับขึ้นมาปิดสูงกว่า
แนวโน้ม : ราคาของวันที่สอง ถึงมีการเปิดที่ต่ำมาก แต่หุ้นมีแนวโน้มที่จะเป็นขาขึ้น เนื่องขากมีแรงซื้อเพิ่มเข้ามาเป็นอย่างมาก
_____________________________________________
11.Piercing Pattern
คือ เป็นกราฟที่เกิดขึ้นในเทรนด์ขาลง สามารถพบเห็นได้บ่อย ในการเทรด Forex หรือหุ้น เพราะเป็นรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นได้ง่าย
ลักษณะ : ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกสีแดงยาวปิดต่ำ แท่งที่สองราคาเปิด Gap ลง แต่สามารถขึ้นมาเปิดสูงเกิน 50% โดยรูปแบบการกลับตัวมักเกิดขึ้นในสภาวะตลาดขาลง
แนวโน้ม : มีแรงซื้อเข้ามามาก จึงไม่สามารถดันราคาต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสเปลี่ยนแนวโน้ม
_____________________________________________
12.Morning Star
คือ ใช้ดูการกลับตัวของราคา เพื่อหาจุดเข้าซื้อ และบ่งบอกว่าตลาดหุ้นจะเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขึ้น
ลักษณะ : เป็นรูปแบบสามแท่ง เทียนสั้นแท่งหนึ่งอยู่ระหว่างสีแดงยาวและสีเขียวยาว จะเป็นสัญญาณแห่งความหวังในตลาดขาลง
แนวโน้ม : มีโอกาสเป็นจุดที่ราคาจะกลับตัวมาเพิ่มสูงขึ้น
_____________________________________________
13.Three White Soldiers
คือ จะพบได้ในช่วงแนวโน้มขาลง เพื่อให้สัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้นโดยรูปแบบนี้จะแสดงถึงจุดเปลี่ยนของแนวโน้มในตลาดทุก ๆ ช่วงของการเปิดต่ำที่น้อยกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ปิดในช่วงสูงสุด
ลักษณะ : เป็นรูปแบบขาขึ้นในสถานการณ์ขาลงที่มีความยาวเรียงติดต่อกัน 3 แท่ง
แนวโน้ม : เป็นสัญญาณขาขึ้นที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจาดแนวโน้มขาลง จะแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันในการซื้อล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง
_____________________________________________
14. Bullish Doji
คือ เป็นสัญญาณที่บอกถึงว่าตลาดกำลังจะเข้าสู่ตลาดขาขึ้น ส่วนมากจะเกิดใกล้จุดต่ำสุดของตลาดขาลง แสดงให้เห็นถึงความลังเลของตลาดว่าราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและใกล้กลับตัวเป็นขาขึ้น ควรหาจุดเข้าซื้อ
ลักษณะ : ประกอบด้วยเทียน 2 แท่ง โดยเป็นรูปแบบการกลับตัวระยะสั้นจากลงเป็นขึ้น
แนวโน้ม : แรงขายที่มีมากในวันแรกเริ่มอ่อนตัวลง มีแรงซื้อเข้ามาวันที่สองทำให้ราคาเกิดความสมดุลใหม่และอาจเปลี่ยนทิศทาง
_____________________________________________
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator ระบบเทรดและเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่างก็สามารถรับ EA และระบบเทรดได้ฟรี และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
.
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
XM – https://bit.ly/XmFree30USD
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
https://bit.ly/MTORNAPA
.
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
exness – https://bit.ly/ExnessCom
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
https://lin.ee/toIzT8g
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
https://lin.ee/toIzT8g
.
facebook :: https://fb.com/ForexTipsThailand
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
https://www.fb.com/groups/1179829495508247
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
ฮาร์โมนิค (Harmonic)
ความคล้ายคลึงกันระหว่างรูปแบบแผนภูมิพื้นฐาน คือว่าสำหรับรูปร่างแต่ละรูปร่างและโครงสร้างเป็นปัจจัยสำคัญในการรับรู้และตรวจสอบความถูกต้องเฉพาะเจาะจง แบบแผน การเคลื่อนไหวของราคาต่อไปจึงสามารถคาดการณ์ได้โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนรูปแบบเหล่านี้เป็นผลกำไร อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่สำคัญคือรูปแบบฮาร์มอนิกมีการกำหนดอย่างแม่นยำมากขึ้น มีโครงสร้างการกลับรายการ 5 จุดซึ่งประกอบด้วยชุดค่าผสมที่ระบุไว้เป็นอย่างดี การย้อนกลับ Fibonacci และ ส่วนขยาย Fibonacci ทำให้ไม่สามารถตีความได้อย่างยืดหยุ่น
รูปแบบฮาร์โมนิคทำซ้ำได้เองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรวมตลาด มี 2 ประเภทคือรูปแบบ: โครงสร้างการหักเห 5 จุดเช่น Gartley และ Bat และรูปแบบส่วนขยาย 5 จุดเช่น Butterfly และ Crab การค้ารูปแบบฮาร์โมนิต้องใช้ความอดทนเนื่องจากความจำเพาะของอัตราส่วนรูปแบบที่ปรากฏฮาร์มอนิกอาจไม่ได้หากไม่สอดคล้องกับการวัดที่เหมาะสม
อย่างที่คุณได้รู้มาจากบทเรียนนี้ เราจะทำกำไรได้จากการเทรดแบบ ฮาร์โมนิคได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถระบุการเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ และส่ง order เมื่อมันเกิดรูปแบบที่สมบูรณ์แล้ว
มีขั้นตอนพื้นฐานสามขั้นตอนในการระบุการเกิดของรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic :
– ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
– ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci)
– ขั้นที่ 3: ส่ง order Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ตามขั้นตอนดังกล่าว คุณสามารถระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีความน่าจะเป็นสูงในการทำกำไรได้
ดูเหมือนรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาบ้างรึยัง และ ณ จุดนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นรูปแบบอะไร มันเหมือนรูปแบบ three drive แต่ว่าอาจจะเป็นรุปแบบ Bat หรือ Crab อีกก็เป็นได้
รึว่าอาจจะเป็นกวางมูส ก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ เรามาหาจุดกลับตัวกันดีกว่า
ใช้เครื่องมือ Fibonacci ปากกา กระดาษ แล้วมาดูกัน
1. เส้น BCอยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น AB
2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 extension ของเส้น BC
3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD
รูปแบบนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบตลาดกระทิง ABCD ซึ่งเป็นสัญญาณให้เราซื้อ
หลังจากที่เกิดรูปแบบราคาแล้ว สิ่งที่คุณจะต้องทำคือส่ง order ให้ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็น Buy หรือ Sell
ในกรณีนี้ คุณควรจะซื้อที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ 1.272 ของเส้น Fibonacci extension ของเส้น CB และใส่ stop loss ให้ต่ำกว่าราคาที่คุณส่ง order นิดหน่อย
มันจะง่ายไปหน่อยไหม?
ไม่อย่างนั้นเสมอไปหรอก
ปัญหาของรูปแบบ Harmonic คือมันยากที่จะระบุจุดที่มันเกิดได้ ยากที่จะระบุประเภทของมันได้
นอกจากคุณจะเข้าใจขั้นตอนในการวิเคราะห์ต่าง ๆ แล้วคุณ่ต้องมีสายตาเฉียบคมในการระบุการเกิดรูปแบบฮาร์โมนิค และต้องอดทนเพื่อไม่ให้ตัวเองเขาไปในช่วงที่รูปแบบ Harmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic ทำให้เราบอกได้ว่าจุดไหนที่เทรนด์จะไปต่อหรือจะเกิดจุดกลับตัว
รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มี 6 แบบ :
– รูปแบบ ABCD
– รูปแบบ Three-Drive
– รูปแบบ Gartley
– รูปแบบ Crab (ปู)
– รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
– รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)
ขั้นตอนพื้นฐานในการระบุการเกิดรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มีดังนี้
– ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
– ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci)
– ขั้นที่ 3: ส่ง order Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
และ อีกครั้งรูปแบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด แต่ว่ามันยากในการระบุ
#แจกฟรี!ระบบเทรด
Breakout ในทางหุ้น หรือ Forex คือการที่กราฟ มีราคาทะลุแนวรับ หรือแนวต้านที่เราตั้งไว้ (ราคาวิ่งทะลุกรอบ หรือที่แปลตรงๆจากภาษาอังกฤษ คือ (การฝ่าวงล้อม) ไม่ว่าจะเป็นการใช้ เทรนไลน์ การใช้ ฟิโนแนนซี่ (Fibonacci)การเกิด Break Out จะเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ และหลังจากนั้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวทะลุกรอบจึงเรียกว่า Break Out สามารถเกิดขึ้นได้ในเครื่องมือหลายชนิด คือเมื่อราคาของคู่เงินนั้นๆวิ่งมาจนสามารถทะลุแนวรับ หรือแนวต้านได้นั้น เราจะเรียกลักษณะอาการของกราฟช่วงนี้ว่าเกิดการ Breakout (อ่านว่า เบรก-เอ้าท์) ดังนั้นในทางเทคนิคและการนำไปใช้ก็คือ จึงเป็น Trade setupแบบหนึ่งที่เทรดเดอร์ Forex ใช้ โดยจะซื้อเมื่อกราฟทะลุแนวต้าน กรอบราคา หรือแนวการตัดสินใจที่วางเอาไว้ขึ้นไปได้
เทคนิคระบบเทรด Breakout
ระบบเทรด breakout น่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่เทรดเดอร์พยามหาเทคนิคการเทรดและใช้กันมานาน อาจเนื่องเพราะตลาดส่วนมากมักจะ sideway หรือ consolidation เสียส่วนใหญ่จากหลักการเทรดและออเดอร์ทำงาน เพราะส่วนมาก consolidation จะเกิดหลังจากที่ราคาวิ่งมาแรงๆ เป็นการพักตัว เพราะผลจากขาใหญ่ปิดทำกำไรออกจากตลาด และเป็นช่วงสะสมออเดอร์เพื่อเพิ่มจำนวน positionsไปในตัวด้วย
เมื่อมีการ breakout ราคาค่อนข้างจะวิ่งแรงและเร็วจะเกิด retest ประจำ เป็นโอกาสครั้งที่สองที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ท่านเข้าใจตลาดทำงานอย่างไน ได้มีโอกาสเทรดไปกับขาใหญ่ ก่อนเกิด breaokut ราคาก็จะวิ่งอยู่ในกรอบราคา ใหญ่-เล็กแล้วแต่ timeframes ถ้าเป็น timeframe ใหญ่จะเห็นอาการ breakout แรง เพราะเป็นเรื่องออเดอร์ที่สะสมที่เปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลาผ่านมาก่อนเปิด ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจโครงสร้างก่อน
ราคา consolidation ในกรอบสีแดง ก่อนเกิด breakout เป็นการเพิ่ม positions ไปในตัวด้วย ยิ่งถ้ามีช่วงเวลานานประกอบ postions เป็นไปได้สูงที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในภาพเป็นการ breakout ราคาขึ้นไปด้านบน ถ้าวิเคราะห์เรื่องออเดอร์ประกอบก็จะเข้าใจ ราคาอยู่ในช่วง consolidation หรือวิ่งอยู่ในกรอบราคาบน-ล่างพื้นที่เดียวกัน เทรดเดอร์ที่เปิดเข้าช่วงนี้ ก็จะมีการตั้ง stop loss ส่วนมากก็จะเป็นเหมือน high อย่างในภาพมีจุดอ้างอิง 2 จุด ที่จะตั้ง stop loss กลุ่มแรกพวกนี้ถ้าราคาวิ่งขึ้นอย่างรูปก็จะกลายเป็น trapped traders การตั้ง stop loss คือการจำกัดความเสี่ยงนี้คือแหล่งที่มา buy market orders กลุ่มแรกอีกกลุ่มคือเทรดเดอร์ที่รอเข้า เห็นราคาอยู่ในกรอบนานก็เข้าหลักการ stop ทำงาน อาจจะตั้ง buy stops เหนือกรอบราคาแถว 2 จุดที่กลุ่มแรกตั้ง stop loss นี้เป็นอีกกลุ่มถ้าราคาวิ่งขึ้นไปแต่ด้านบน stop orders จาก เทรดเดอร์ทั้งสองกลุ่มนี้ก็จะทำให้เกิดโดมิโนของ market orders ทันที และอีกกลุ่มเทรดเดอร์ที่รอเปิดเทรดเอง อาจเปิดเทรดใน timeframe ที่เล็กลงไป เห็น breakout เกิดขึ้นก็จะเปิด market orders เข้าตลาดด้วยตัวเอง จากความเข้าใจแบบนี้ท่านจะเห็นว่า เป็นไปได้ที่ขาใหญ่จะใช้เทคนิคเทรดเพื่อให้เกิด breakout เพื่อใช้ประโยชน์จาก stop orders พวกนี้ เพราะเป็นออเดอร์ที่บังคับเปิดเองเมื่อราคาไปแตะ stop orders กลายเป็น buy market orders ก็จะแตะ stop orders ตัวต่อไปเองโดยอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ขาใหญ่ชำนาญและจัดการง่าย นั้นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมพอราคา breakout ราคาจึงวิ่งเร็ว แต่ในทางกลับกันเพราะ stop orders พวกนี้เป็นออเดอร์โดนบังคับและเกิดตรงที่ราคาสูงไป และมี liquidity น้อยเพราะไม่ได้มาจากการเปิดเทรด เลยเปิดโอกาสให้ขาใหญ่ปิดทำกำไรราคาเลยลงมาอย่างรวดเร็วและอีกพวกที่เป็น breakout traders ที่เปิด buy postions ตรงจุดที่เกิด พอเห็นกำไรเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ก็จะออกจากตลาดให้เร็วที่สุด เลยทำให้ราคามาหาจุดที่เกิดได้เร็ว และเปิดโอกาสให้ขาใหญ่เทรดอีก เพราะขาใหญ่ก็จะใช้ออเดอร์จากพวกที่เปิด buy positons ออกจากตลาดมา ด้วยคำสั่งปิด ก็คือ sell orders เพื่อจะได้เปิด buy positions อีกรอบ นี้คือหลักการเมื่อเข้าใจการทำงาน breakout แล้วจะใช้ความรู้เพื่อเข้าเทรด retest อย่างไร
พื้นที่ retest ในการเข้าเทรดก็อ้างอิงจากพื้นที่ราคาเบรกขึ้นไป อย่างกรอบสีน้ำเงิน เวลาเทรดก็ลงไป timeframe ที่เล็กกว่าเพื่อหา price action ประกอบ เช่น engulfing bar, pin bar เป็นต้น ก็เปิดเทรด
อย่างภาพด้านบนนี้เป็นเทคนิคการเข้าเทรดเมื่อเห็น breakout เกิดขึ้นและเข้าใจหลักการที่กล่าวมาด้านบน ที่จะเปิดโอกาสให้เทรดตอนราคากลับมาอีกรอบ หรือ retest ท่านจะเห็นมี pin bar เกิดพื้นที่ retest เกิดขึ้นก็จะเปิดโอกาสให้เปิดเทรด
ถ้ามองเรื่องออเดอร์เป็นหลัก จะพบว่าหลักการทำงานคล้ายๆกับเทคนิคการเทรด supply/demand หรือ support/resistance zone เพราะต้องการเห็นความไม่สมดุลย์เกิดขึ้นเป็นการยืนยัน และความเข้าใจตลาดด้วยการใช้จุดอ่อนของเงื่อนไขตลาด คือ พวกเทรดเดอรที่เป็น trapped traders ไม่มีทางเลือก ยิ่งถ้าเป็นพื้นที่กดดันมาก ยิ่งต้องรับจัดการออเดอร์และ stop ordes จากพวกที่รอเข้า อีกอย่างต้องไม่ลืมเรื่อง liquidity และ postions ที่เปิดในพื้นที่ consolidaiton หรือกรอบราคาที่มาจากtimeframe ใหญ่ ยิ่งมีผลเยอะเพราะจำนวนออเดอร์สะสมที่มาจาก trapped traders จะเยอะ
จากจุด retest เลข 1 ราคาวิ่งขึ้นไป 200 กว่าบีบ จุด retest เลข 2 ราคาวิ่งลงกว่า 130 บีบ และ จุดเลข 3 ราคาวิ่งขึ้นกว่า 100 บีบ และจุด retest เลข 4 ราคาลงกว่า 200 บีบ การข้าใจแหล่งที่มาออเดอร์หลังเกิด breakout จำเป็นเพราะถ้าเงื่อนไขที่ให้ market orders เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งแบบโดนบังคับคือ stop loss หรือจากการที่ breakout เอาชนะ price levels ฝั่งตรงข้ามอีกทำให้เกิด trapped traders หลายจุดหนุนกันและเปลี่ยนข้อมูลเทรดเดอร์ที่รอเข้า ก็จะทำให้ออเดอร์ที่เข้ามาส่วนมากไปทางที่ breakout ไปก็เลยทำให้ราคาวิ่งไปได้เยอะ
ภาพสุดท้าย พอเห็นเทคนิค breakout ในชาร์ต D1 เปิดมา ชาร์ต H1 เห็นจุดอ้างอิงที่ชัดเจนราคามา retest รอบแรก เลข 2 ก็เปิดโอกาสให้เทรดสะสมได้หลัง pin bar พื้นที่เหนือเลข 2 ราคาขึ้นไป ลงมาอีกต่ำกว่าเลข 2 เป็นการล่า stop ก่อน ลงมาถึงอีกจุดที่สนใจแล้วราคาก็เปิดเผย พอบาร์ล่าง stops ลงแล็วก็รีบกลับไปที่เดิมและพื้นที่เป็นจุด breakout บอกนัยว่าเป็นการเข้าเทรดหลังจากล่า stop ถ้าท่านมองดูโครงสร้างตรงนี้ที่ชาร์ต D1 ท่านจะไม่เห็นเปลี่ยนอะไรมาก เป็นแค่ราคามาเทรด เพื่อให้พวก trapped traders ออกจากตลาด จากตัวอย่างล่าสุดจะเห็นชัดว่า ยิ่ง breakout เกิดกับพื้นที่มาจาก timeframe ใหญ่ยิ่งมี trapped postions ที่อยู่เป็นส่วนประกอบ breakout ยิ่งเยอะ
คู่เงินหลักที่นิยมใช้ในระบบเทรด Forex
สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คำถามที่มักถามกันบ่อยๆ ก็คือ จะเทรดคู่ไหนดี คู่เงินที่นิยมเทรดอะไรมีอะไรบ้าง ซึ่งเป็นคำถามที่ดีมาก เพราะการเทรดคู่เงินที่นิยมเทรดกันนั้น จะทำให้ค่าสเปรดถูก (ส่วนต่างของราคาซื้อขาย) เพราะมีสภาพคล่องสูง และสามารถทำกำไรง่ายกว่าคู่เงินที่คนไม่นิยมเทรดกัน กลับมาที่คำถาม คู่เงินหลักที่นิยมเทรดกัน มีอะไรบ้าง ดูจากกราฟ จะเห็นได้ว่าคู่เงินที่นิยมเทรดกันมากสุด อันดับหนึ่งคือ EURUSD มากถึง 38 % อันดับสอง คือ USDJPY 23% อันดับสาม คือ GBPUSD 21 %
คู่สกุลเงินหลัก ที่นิยมซื้อขายที่สุดในระบบเทรด Forex
1. EUR/USD ยูโร vs ดอลลาร์สหรัฐ
2. USD/JPY ดอลลาร์ vs เยนญี่ปุ่น
3. GBP/USD ปอนด์อังกฤษ vs ดอลลาร์สหรัฐ
4. AUD/USD ดอลลาร์อสสเตรเลีย vs ดอลลาร์สหรัฐ
5. USD/CAD ดอลลาร์สหรัฐ vs ดอลลาร์แคนาดา
6.USD/CHF ดอลลาร์สหรัฐ vs สวิสฟรังค์
7. NZD/USD ดอลลาร์นิวซีแลนด์ vs ดอลลาร์สหรัฐ
#แจกฟรี!ระบบเทรด
Lots หมายถึง ปริมาณหรือขนาดของการซื้อขายในตลาด Forex โดยมีอยู่สองลักษณะคือ Mini Lot size และ Standard Lot Size โดย
ประเภทของ Lot ในระบบเทรด Forex
ปัจจุบันมีขนาดล็อต 4 ประเภทในระบบเทรด Forex ได้แก่
1. Lot มาตรฐาน (Standard Lot)
ล็อตมาตรฐานประกอบด้วย 100,000 หน่วยของสกุลเงิน หากคุณเทรดด้วย USD ในกรณีนี้ล็อตมาตรฐานจะเท่ากับ $100,000 นอกจากนั้น ขนาดเฉลี่ยของ 1 pip ในล็อตมาตรฐานคือ $10 หากคุณสูญเสีย 10 pip หมายความว่าคุณสูญเสีย $100
ล็อตประเภทนี้มักใช้ในบัญชีที่มีเงินในกระเป๋าอย่างน้อย $25,000 เพื่อเริ่มระบบเทรด
2. Lot มินิ (Mini lot)
ล็อตมินิประกอบด้วย 10,000 หน่วยของสกุลเงิน ในบัญชี USD ที่เทรดบนสกุลเงิน USD ค่า 1 pip ในระบบเทรดจะเท่ากับประมาณ $1
ขนาดล็อตนี้มักใช้โดยมือใหม่สำหรับตลาด Forex และผู้ที่กำลังเรียนรู้วิธีการเทรด นักเทรดไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนมากนักในบัญชี ซึ่งจะพบกับความผันผวนที่น้อยกว่าในตำแหน่งที่เปิด
ล็อตมินิจะใช้ในบัญชีมินิ Forex นักเทรดสามารถเริ่มต้นใช้ระบบเทรดได้ด้วยเงินทุนเพียง $100
ล็อตมินิ 10 ล็อต เท่ากับล็อตมาตรฐาน 1 ล็อต
3. Lot ไมโคร (Micro lot)
ล็อตไมโครคือล็อตในระบบเทรดที่น้อยที่สุดที่นำเสนอโดยโบรกเกอร์ Forex ส่วนมาก ล็อตไมโครประกอบด้วย 1,000 หน่วยของสกุลเงิน หมายความว่า $1,000 ในบัญชี USD และ 10 เซนต์ ของ 1 pip ขนาดล็อตนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเทรดเป็นครั้งแรกโดยลดข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นนักเทรดจะรู้สึกสบายใจเมื่อทำการเทรด
โบรกเกอร์รายย่อยส่วนมากนำเสนอบัญชี Micro ให้กับนักเทรด ดังนั้นนักเทรดสามารถใช้ล็อตไมโครด้วยเงินฝากเริ่มต้นที่ต่ำ
ในการวัด 100 ล็อตไมโคร จะเท่ากับ 1 ล็อตมาตรฐาน
4. Lot นาโน (Nano lot)
ตรงตามชื่อ ล็อตนาโนมีขนาดเล็กกว่าล็อตไมโคร 1 ล็อตนาโน ประกอบด้วย 100 หน่วยของสกุลเงิน หมายความว่า $100 ในบัญชี USD และค่า 1 เซนต์ ของแต่ละ pip ล็อตประเภทนี้ไม่ค่อยใช้ในกิจกรรมการเทรด Forex แต่โบรกเกอร์ Forex บางรายนำเสนอ บัญชี Forex เซนต์ (cemt)ที่ออกแบบมาสำหรับมือใหม่
ความสำคัญของล็อต (lot) ในระบบเทรด Forex
สิ่งสำคัญที่สุดคือในระบบเทรดด้วยขนาดล็อตที่เหมาะสม เพราะขนาดล็อตของคุณจะกำหนดระดับการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนของตลาด Forex ที่จะส่งผลกับเทรดของคุณ
ยกตัวอย่าง:
EUR/USD 1.3500
ค่า 1 pip = 0.0001 / 1.3500 = 0.00007407407 ยูโร
นี่คือค่าของ 1 pip สำหรับทุกล็อต:
–
–
–
และนี่คือค่าของ 1 pip ใน USD:
–
–
–
ดังนั้น ล็อตของคุณยิ่งมาก ค่า pip ของคุณก็จะยิ่งมากตาม เมื่อการเทรดของคุณประสบความสำเร็จ คุณจะได้รับกำไรเพิ่มขึ้นด้วยขนาดล็อตที่ใหญ่กว่า แต่กรณีที่สูญเสียคุณจะสูญเสียเงินเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ผู้เทรดฟอเร็กซ์รายย่อยส่วนมากเลือกเทรดเป็นล็อตมินิหรือล็อตไมโคร ซึ่งอาจดูน่าสนใจน้อยกว่าล็อตมาตรฐาน แต่การเทรดขนาดที่เล็กกว่าจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป ล็อตมินิและล็อตไมโครมีสมดุลที่ยอดเยี่ยมในแง่ความต้องการของเงินทุนและความเสี่ยงที่ได้รับ ดังนั้น ขนาดล็อตทั้ง 2 นี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณที่จะเริ่มต้นเทรดในตลาด Forex
สรุปแล้วเมื่อคุณเริ่มต้นในระบบเทรด forex ส่วนสำคัญที่สุดที่ถือว่าทำให้คุณสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว หรือว่าช้านั้น คือค่า lot ที่คุณเปิดนั่นเอง ดังนั้นจงบริหารการเปิดค่า lot ให้ดี เพื่อที่ว่าคุณนั้นจะได้สามารถใช้ระบบเทรด forex และทำกำไรได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง
#แจกฟรี!ระบบเทรด
Stochastic หรือเรียกได้อีกว่า Stochastic Oscillator คือ Indicator ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ใคร ๆ ก็ใช้ เป็น Indicator ที่ให้สัญญาณการซื้อขายเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง จึงเป็น Indicator ที่นิยมมากมาย ในเหล่า Trader เป็นอย่างมากโดย Stochastic Oscillator จัดอยู่ในหมวด Oscillator ซึ่งเป็น Indicator ที่ใช้ในการวัดการแกว่งตัวของราคา Forex หรือเป็น Indicator ที่เหมาะกับการวิเคราะห์ในสภาวะตลาดที่เป็น Sideway ก็คือจะใช้งานได้ดีในสภาวะกราฟที่มีการแกว่งตัวขึ้นลงในช่วงไม่กว้างนัก Stochastic นั้นจะเคลื่อนไหวตาม Momentum ของราคา จากคำกล่าวที่ว่า “การเปลี่ยนทิศทางของ momentum จะเกิดขึ้นก่อน การเปลี่ยนทิศทางของราคา” อย่างใน Bullish และ Bearish Divergence จะเห็นได้ว่า Stochastic นำไปใช้แสดงถึงการกลับตัวของราคาที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ Stochastic Oscillator ในการคาดการณ์การเกิดขึ้นของแนวโน้มในอนาคต
เปิดโปรแกรม MT4 แล้วเข้ามาที่แถบเมนู Insert > Indicators > Oscillators > Stochastic Oscillator
จากนั้น Stochastic ก็จะไปแสดงอยู่ด้านล้างของกราฟ ตามภาพข้างล่างเลย โดยจะไป
เปิด Window1 ขึ้นมาเพิ่มอีก แล้วค่า Default ที่มาพร้อมก็จะเป็นค่า 20,80 ซึ่งเราสามารถปรับแต่งและเพิ่มเติมได้
Stochastic Oscillator มีเส้นที่ชี้บอกสัญญาณคือ
Stochastic นั้นจะวิ่งอยู่ในช่อง 0-100 โดยโซน Overbought จะมีค่าตั้งแต่ 80 ขึ้นไป ซึ่งหมายถึงราคามีแรงซื้อเข้ามามากเกินไป อาจจะมีการปรับตัวลงในเร็วๆนี้ แถบสีน้ำเงิน
โดยโซน Oversold จะมีค่าตั้งแต่ 20 ลงไป ซึ่งหมายถึงราคามีแรงขายเข้ามามากเกินไป อาจจะมีการปรับตัวขึ้นในเร็วๆนี้ แถบสีแดง
– เนื่องจาก Stochastic Oscillator เป็น indicator ประเภท momentum oscillator ดังนั้นสัญญาณซื้อ-ขายที่แม่นยำ จึงใช้ได้ดีกับตลาดที่ไม่เกิดแนวโน้ม (Sideway) เพราะตลาดจะแกว่งตัวขึ้นลงไปมา
– ดังนั้นในตลาดขาขึ้น (Uptrend) Stochastic จึงให้สัญญาณซื้อได้ดีกว่าสัญญาณขาย เพราะหากขายไปหุ้นมักจะขึ้นต่อ เนื่องจากมันแค่ย่อตัวลงมาเท่านั้น momentum ไม่ได้เปลี่ยนทิศทางแต่อย่างใดและตลาดมีลักษณะแกว่งตัวเป็นขาขึ้น
– ในตลาดขาลง (Downtrend) Stochastic จะให้สัญญาณขายที่แม่นยำกว่าสัญญาณซื้อ เพราะ หากซื้อจะทำให้ขาดทุนได้ เนื่องจาก ตลาดแกว่งตัวลง momentum ยังอยู่ในทิศทางขาลง
– สัญญาณ Bullish & Bearish Divergence นั้นจะเพิ่มความแม่นยำให้กับผู้ใช้เครื่องมือได้ แต่ต้องดูแนวโน้มประกอบในการตัดสินใจ หากเป็นขาลงที่แข็งแกร่ง การเกิด Bullish Divergence นั้น จะต้องรีบเข้าและรีบออกจากตลาด (โดยเฉลี่ย 3-5 วัน) เพราะ แนวต้านของแนวโน้มนั้นจะมีความแข็งแรง ราคาเพียงแค่เกิดการพักฐานในขาลงเท่านั้น
เราสามารถใช้ เจ้า Stochastic ในการที่จะหาจังหวะการเปิดออร์เดอร์เพื่อทำกำไร กับสภาวะ Divergence ของกราฟได้ โดยใช้คู่ขนานไป => divergence ขาขึ้น : Stochastic ทะลุ 20
เปิด ออร์เดอร์ Buy
=> Divergence ขาลง : Stochastic หลุด 80 เปิด ออร์เดอร์ Sell
ปกติ เจ้า Stochastic จะมีค่า Default อยู่ 2 ค่า คือ 80 , 20 ซึ่งเป็น Zone บางทีการที่จะรอให้ ราคาวิ่งลงมาที่ 20 หรือ ขึ้นไปที่ 80 อาจต้องใช้เวลา ยิ่งใช้ กราฟ TF ที่สูงกว่า H1
คงรอเป็น 2 – 3 วัน เราสามารถเพิ่มเส้น ขึ้นมาเองได้อีก เพื่อกำหนด Zone เพิ่มขึ้น ในการที่จะเข้าเทรดได้
ในภาพ เพิ่มอีก 2 เส้น คือ 90 และ 10 เพื่อเพิ่มความชัดเจน และ ไล่ Zone => 90 คือ เขต Overbougth เตรียม Sell , => 10 เขต Oversold เตรียม Buy
ด้วยความที่เป็น indicator แบบ การแกว่งตัว หากจะเพิ่มความแม่นยำในการเปิด ออร์เดอร์ควรจะหา indicator ตัวอื่นมาร่วมในการวิเคราะห์สัญญาณด้วย ก็จะเป็นการดียิ่ง ในตอนนี้ขอนำเอา MACD มาร่วมด้วย
กลยุทธ์การเข้าเข้าทำกำไรด้วย Stochastic และ MACD นี้ เป็นระบบการซื้อขายที่อิงตาม MT4 ในบทความนี้ ขอใช้ MACD เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เป็นตัวกรองเพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาณการซื้อขายที่ผิดพลาดในขณะที่ตัวบ่งชี้ Stochastic จะเป็นตัวสร้างสัญญาณเปิด ออร์เดอร์ มาดูวิธีทำกำไรเลย
จริง ๆ แล้ว Stochastic นั้นเหมาะใช้กับ Timeframe M5 และ M15 ได้ดี ในช่วง sideways หรือช่วงราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ เลยขอนำเสนอ ระบบเทรดสั้น ๆ กับ กราฟ 5 Min ซึ่งใช้ indicator เพิ่มเข้ามาก็คือ Supertrend มาดูการทำงานของระบบกันเลย
#แจกฟรี!ระบบเทรด
เทคนิคการใช้ Divergence (ความขัดแย้งกัน) ในระบบเทรด
Divergence สามารถจะมามองเห็นด้วยการเปรียบเทียบพฤติกรรมราคา กับ การเคลื่อนไหวของอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ไม่สำคัญว่าจะเป็น อินดิเคเตอร์ ประเภทไหน คุณจะใช้ RSI, MACD, stochastic, CCI, ฯลฯ. แต่สิ่งสำคัญส่าหรับ Divergences คือคุณสามารถใช้มันในการเป็นตัวน่าทาง ในการตัดสินใจในการเทรดและ วิธีใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากนัก ปกติแล้วคุณสามารถจะทำก่าไรได้อย่างต่อเนื่องเองด้วยการเทรดด้วย Divergence และข้อดีของ Divergence คือ คุณแทบจะซื้อได้ในราคาต่ำสุดของเทรนด์ขาขึ้นและ Sell ได้สูงสุดของเทรนด์ขาลงเลย
1.Regular divergence (bullish LL/HL) Divergence ปรกติ
2.Regular divergence (bearish HH/LH) Divergence ปกติ
ในรูปข้างล่างนี้ เราจะเห็นว่าราคาเกิดจุดกลับตัวหลังจากที่มันพยายามท่าราคาสูงสุดครั้งใหม่
จากรูปข้างบน การเกิด Divergence แบบปกติเหมาะส่าหรับการเข้าออร์เดอร์ในจุดที่ต่ำสุดหรือสูงสุด ซึ่งคุณจะใช้ในการมองว่าจุดไหนจะเป็นจุดกลับตัว
ส่วนตัวสัญญาณ Oscillator นั้น ถ้ามันเริ่มที่จะมีการ Divergence แล้ว ถึงแม้พฤติกรรมของราคายังจะเกิด higher high (or lower low) นั่นหมายความว่าเทรนด์จะไม่ยั่งยืนอีกต่อไป
3.Hidden divergence (bullish HL/LL) Divergence แฝง
4.Hidden divergence (bearish LH/HH) Divergence แฝง
จากภาพเราจะได้สัญญาณ Hidden bearish divergence หรือสัญญาณ Divergence ขาขึ้นแฝง ซึ่งรูปแบบนี้จะเกิดเมื่อตลาดให้สัญญาณ lower high (LH) แต่ตัว oscillator กำลังท่ารูปแบบ higher high (HH). คุณอาจจะคิดว่าเป็นรูปแบบของเทรนด์ขาลง เมื่อคุณเจอรูปแบบ Hidden bearish divergence นั่นหมายความว่า โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางขาลง อย่างต่อเนื่องเป็นไปได้สูง
Higher Highs and Lower Lows
ถ้าราคา เกิด Higher highs, (ท่าราคาสูงสุดครั้งใหม่) ตัว oscillator (MACD RSI ฯลฯ) ควรจะมีรูปแบบ higher highs. ด้วย ถ้าราคาเกิดรูปแบบ Lower lows, ตัว oscillator ก็ควรจะมีรูปแบบ lower lows.ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าไม่ นั่นหมายความว่าราคาและ Oscillator ก่าลังเกิดการขัดแย้ง Divergence ซึ่งกันและกัน และด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกว่า Divergence
การเทรดโดยใช้ Divergence เป็นเครื่องมือ ที่ยอดเยี่ยมที่คุณควรจะมีในกล่องเครื่องมือของคุณเพราะว่าสัญญาณ Divergence ที่คุณได้มานั้นจะบอกเราว่าจะมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น และคุณควรจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด
การใช้ Divergence ในการเทรดในการหาจุดกลับตัว หรือว่าเมื่อตลาดหมดแรง บางครั้งคุณอาจจะใช้มันเป็นสัญญาณบอกว่าเทรนด์จะไปต่อรึเปล่าด้วยก็ได้!
จ่าไว้เสมอว่า regular divergences เป็นสัญญาณว่าอาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ขณะที่ hidden divergences เป็นสัญญาณว่าเทรนด์จะยังคงมีต่อไป
เทคนิค9ข้อในการใช้ Divergence
1. ในการเกิด Divergence นั้น ราคามักจะมีรูปแบบดังต่อไปนี้:
อย่าพึ่งไปดูตัวอินดิเคเตอร์ ถ้าเกิดว่าไม่มีการเกิดรูปแบบนี้ขึ้นมา ถ้าคุณไม่ได้ทำตาม คุณก็ไม่ได้เป็นนักเทรด Divergence หรอก คุณเป็นแค่นักเทรดที่ใช้จินตนาการคิดไปเอง
2. วาดเส้นเทรนด์ไลน์ ที่ราคา สูงสุด และราคาต่ำสุด
3. ให้ลาก TOPS และ BOTTOMSเท่านั้น
4. จับตาดูที่ราคาตลอด
5. ให้ทำตัวเหมือนกับ Pip Diddy
6. ให้ตรงกับแนว
7. ใช้ความชันของกราฟ
8. ถ้าเราตกเรือแล้ว ให้รอลำต่อไป
9. กลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
เทคนิค Volatility channel breakout
ระยะกรอบเวลาที่เหมาะสม = M15 ขึ้นไป
คู่สกุลเงินที่เหมาะสม = ทุกคู่สกุลเงิน
อินดิเคเตอร์และการตั้งค่า
ตัวย่างการใส่อินดี้ Alligator (ตามต้นฉบับ) ลง MT4
ตัวย่างการใส่ Moving Average (SMA 144)
เงื่อนไขพิจารณาจังหวะ Short/Long/SL/TP และ Close ออเดอร์
เงื่อนไขหาจังหวะเข้าออเดอร์ Long/SL/TP/Close Order
ตัวอย่างจังหวะเข้าและออกออเดอร์ กรณี long
เงื่อนไขหาจังหวะเข้าออเดอร์ Short/SL/TP/Close Order
ตัวอย่างจังหวะเข้าและออกออเดอร์ กรณี Short
แจกฟรี!ระบบเทรด
5 เทคนิคการทำกำไรจากระบบเทรด Forex
1.ตัดสินใจให้แน่นอนว่าคุณจะลงทุน forex ในแง่ใด
Forex คือตลาดการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งแต่ก่อนนั้นธนาคารคือผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในตลาด แต่ในปัจจุบัน มันถูกแปลสภาพให้คนทั่วไปอย่างเราๆ สามารถเข้าไปทำเงินจากตลาดได้ ผ่านโบรกเกอร์ ที่อยู่ในต่างประเทศ แต่กระนั้นก็ตาม วิธีการลงทุน forex นั้นไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะการเทรดอย่างเดียว ยังมีอะไรอีกมากมายซึ่งคุณสามารถเลือกลงมือทำได้ ขอสรุปออกมาเป็นข้อๆที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1.1เป็นเทรดเดอร์: ข้อหนี้หลายๆคนรู้แล้วและสามารถทำเป็นได้ เพราะมีเครื่องมือความรู้สอนกันมากมาย
1.2เป็น IB ข้อนี้คือแทนที่เราจะเป็นเทรดเดอร์ แต่เราไปเป็นคนที่เรียกว่า คนแนะนำหรือเราอาจเรียกกลุ่มนี้ affiliate
1.3เป็นโบรกเกอร์: สำหรับหนทางนี้อาจยากสำหรับมือใหม่ แต่ถ้าทำได้ก็คุ้มมากๆ
1.4เป็นคนทำสิ่งสนับสนุนเช่น EA หรือ Indicator: มีรายได้แบบ passive income ยาวๆ
สรุปแล้วทั้ง 4 ข้อนี้ถือเป็นแนวทางที่คิดว่าคุณน่าจะเลือกไปลงทุนสักทางใดก็ทางหนึ่งคิดว่ามัน Work มากๆ หากคุณได้ลองทำ ทีนี้หลังจากที่เราเลือกเส้นทางแล้ว ส่วนต่อไปคือการมองหาเงินทุน
2.เตรียมเงินทุนของคุณให้พร้อม
จงเตรียมเงินทุนของคุณให้พร้อม! ถ้าคุณเป็นสาวกของลูกเสือ คุณคงเคยเจอคำว่า “จงเตรียมพร้อม” คำนี้มีความหมายที่ดีมาก เพราะในการลงทุน forex สิ่งที่คุณควรทำมากที่สุดคือ การเตรียมกระสุนของคุณนั้นให้พร้อมเพื่อการลงทุน คำถามที่น่าสนใจต่อมาคือ แล้วเราจะลงทุนที่เท่าไหร่ดี
คำถามนี้หากเป็นมือใหม่ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบ ขอนำจากประสบการณ์ตรงมาตอบได้ดังนี้คือ พยายามลงทุนด้วยเงินที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ทั้งหมด แน่นอนว่าถ้าคุณมีรายได้เดือนละ 100,000 บาท จำนวนเงินของคุณที่ลงทุนก็คือ 40,000 บาท
คำถามคือแล้วเราจะสามารถแหกกฎเหล่านี้ได้ไหม ขอตอบว่า แล้วแต่คุณเลย เพราะไม่มีอะไรแน่นอน เพียงแต่การที่เราทำตามกฎ มันช่วยให้เรามีความรู้สึกว่าปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
เคยลงทุน forex ด้วยการเทรดคู่เงิน USD/JPY ด้วยเงินทุนประมาณ 70-80% ของรายได้ แล้วสิ่งที่ตามมาคือหมดเงินทั้งหมดเพราะว่าพอร์ตระเบิดครับ แต่ด้วยการที่ลงเงินลงไปเยอะมาก สิ่งที่ตามมาคือ มันทำให้ผมไม่มีกระสุนมากพอที่จะไปลุยในตลาดต่อ ผลเสียคือผมต้องพักยาว รอสะสมกระสุนใหม่ จึงจะสามารถเติบโตได้
3.เลือกเครื่องมือประกอบการลงทุน
ถ้าคุณคิดว่าจะมาบอกเรื่องของ Indicator หรือว่า EA เรากำลังจะบอกคุณว่าหากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน forex สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมองหาเครื่องมือประกอบการลงทุนที่ดี อันประกอบไปด้วย
3.1การเรียนรู้ทักษะด้านการเทรด Indicator และการเขียน Code
3.2การมีทีมที่สามารถช่วยเหลือคุณในด้านเทคนิค
3.3ฝ่ายกฎหมาย
คนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุน forex ของคุณ เพราะเขาจะเป็นที่ปรึกษาและเป็นทีมงานในการทำการลงทุน forex ของคุณให้ประสบความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น
4.รายได้ Active VS Passive
ยุทธวิธีในการมีรายได้จากการลงทุน forex นั้นมีด้วยกัน 2 ประเภทคือ การมีรายได้แบบ Active และการมีรายได้แบบ Passive ซึ่งทั้งสองตัวนี้ให้ผลลัพธ์ต่อตัวเราที่ต่างกัน และมีผลตอบแทนที่ต่างกันด้วย จึงอยากแชร์ข้อมูลตรงนี้สักเล็กน้อย กล่าวคือ บางทีแล้วหากเรามองเรื่องการเทรด forex เป็นเรื่องของการเป็นเทรดเดอร์นั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเริ่มต้นก่อนเสมอ และมันมีข้อดีคือ เมื่อคุณเปิด Position ถูกทาง และมันทำกำไรมหาศาล คุณก็จะรู้สึกถึงความสุข และความสนุก
แต่แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาในทางตรงกันข้าม คุณคงไม่มีความสุขเสียเท่าไหร่อย่างแน่นอนซึ่งถือว่า การเป็นเทรดเดอร์นั้นเป็นการมีรายได้แบบ Active มากกว่าเป็น Passive
คุณต้องลงมือทำแล้วจะสำเร็จ ถ้าวันใดคุณไม่ลงมือทำและไม่เทรด นั่นเท่ากับว่าคุณหมดโอกาสในการประสบความสำเร็จไปเลยจากตลาด
แต่หากคุณผันตัวเองจากการเป็นเทรดเดอร์ไปเป็น IB สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณก็คือ คุณจะมีรายได้ที่น้อยลงมาก แต่สิ่งที่ตามมาคือในระยะยาวรายได้ของคุณนั้นจะเติบโตขึ้นมาครับ อันเนื่องมจากการมีรายได้แบบ passive income ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นรายได้ที่หล่อเลี้ยงการลงทุน forex ของคุณให้ไปต่ออย่างยาวนาน
ดังนั้นเมื่อคุณลงทุน forex จงเลือกทำท้องสองทางของรายได้ให้มันควบคู่ไปจะดีที่สุด เพราะอย่างน้อยแล้ว คุณก็สามารถมีอนาคตที่ปลอดภัยได้จากการมีรายได้แบบ passive income
5.จุดทำกำไรที่น่าสนใจในตลาด forex
เคล็ดลับอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะนำเสนอคุณ นั่นคือการทำกำไรในตลาด forex นั้นมีหลายวิธี บางทีแล้วมันอาจไม่จำเป็นต้องเป็นการรอจังหวะของ Indicator ในการแสดงผลก็ได้ แต่อาจเป็นเรื่องของการเทรดตามข่าว โดยเฉพาะข่าวอย่าง nonfarm
ทีนี้คุณอาจอยากรู้ว่าจุดไหนบ้างที่เป็นจุดทำกำไรในตลาด forex ผมขอสรุปออกมาเป็นดังนี้
5.1ลองเทรดตามข่าว
5.2ลองเทรดโดยการดูกูรูที่อยู่ในโบรกเกอร์นั้นๆ ที่คุณใช้บริการดู (บางทีข้อมูลแม่นมากกว่าคนไทยอีก)
5.3ลองใช้พวก EA เข้ามาช่วยสร้างจุดทำกำไรที่ยั่งยืนในการลงทุน forex
5.4ลองมาเทรดในตลาดเหรียญดิจิตอล เป็นตลาดที่เปิดใหม่และน่าสนใจอีกทั้งสามารถทำกำไรได้ง่ายมากๆ
ตอนนี้เชื่ออย่างหนึ่งว่า องค์ความรู้ด้านการลงทุน forex ที่ผมเขียนไว้นี้น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนใหม่อย่างคุณ และ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงทุนในตลาด forex สิ่งที่เป็นหัวใจของความสำเร็จที่เราจะต้องตระหนักเลยคือ การลงทุน forex อย่างสม่ำเสมอ และมีวินัยแห่งความสำเร็จ แม้ว่าคุณจะรู้ถึงเคล็ดลับทั้ง 10 ประการที่ผมกล่าวไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าขาดเสียซึ่งวินัยโอกาสของความสำเร็จคงอยู่ห่างไปไกลทีเดียว
#แจกฟรี!ระบบเทรด
ระบบเทรดด้วย Order block
การเข้าใจเรื่องการทำงานของออเดอร์ทำให้มองระบบเทรดหลายๆ อย่างได้หมดเช่น ในที่นี้จะกล่าวระบบเทรดแบบที่เรียกว่า Order Block โดยหลักการของการกำหนดของ Order Block ก็คือการเทรด Top หรือ Bottom หลังจากที่ราคาได้ทำเทรนมาโดย Order Block จะเป็นระบบเทรดสวนเทรนจากที่ทำเทรนขึ้นมา เมื่อเกิดขึ้นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ระบบเทรดเปลี่ยนเทรน จากเทรนขึ้นเป็นเทรนลง หรือจากเทรนลงเป็นเทรนขึ้น
เทคนิคมอง Order Block เป็นการใช้หลักการออเดอร์ประกอบกับ Top หรือ Bottom ที่เป็น chart pattern ที่บอกการกลับเทรน ดังนั้นส่วนประกอบแรกที่ต้องเห็นเรื่องของเทรนที่มาก่อนแล้วราคาก็หยุด ทำกรอบหรือ Block ด้วยการกำหนด High และ Low และสิ่งที่ตามมาคือเมื่อราคาออกจาก Order Block ต้องเป็นการออกมาอย่างแรง หรือเป็น momentum แล้วเราก็ได้กรอบที่เป็น Order Block เกิดขึ้น เพราะตัวเบรคที่ออกมาเป็นตัวยืนยัน และระบบเทรดจะรอการกลับมาทดสอบอีกครั้ง จุดสำคัญจะอยู่ที่ราคาเบรคหรือออกจาก Order Block ต้องเป็นการจากอย่างแรงที่บอกว่าเป็นการที่ขาใหญ่มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดขึ้น
กรอบที่เกิดเป็น Block ที่เกิดขึ้นเพราะมี trading transaction ที่เกิดขึ้น ดังนั้นทั้ง long/short positions อยู่ตรงนั้น เมื่อราคาเบรคทางไหนแสดงว่า market ordersที่เข้ามาเกิน limit orders ทางที่ market orders วิ่งไป เมื่อเกิด beakout ขึ้นจึงทำให้เทรดเดอร์ที่ถือ positions อยู่ในกรอบฝ่ายที่ราคาวิ่งสวนกลายเป็น trapped traders ทันที ถ้ามีการกำหนด stop loss ก็จะเป็นตัวเร่งให้ breakout ไปได้เร็ว และตรงส่วนที่เป็น breakout ยังมีออเดอร์จากเทรดเดอร์ที่รอเข้าด้วยจาก breakout traders ที่จะเปิดตาม
ที่สำคัญก่อนที่ราคาจะจากไปและทำให้เกิดเป็น Order Block จริง ก็จะเห็นเรื่องของ Stop hunt หรือ False Break อีกทางขึ้นเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อเข้าตลาดจากเทรดเดอร์ที่เข้าก่อน ด้วยการดันราคาไปแตะ stop loss และพอราคากลับมาจริงทางที่เกิด breakout เพื่อใช้ stop loss อีกข้างเพื่อเร่งราคาอีกด้วย
หลักการทำงานและเรื่องออเดอร์ของ Order Block ก็จะแบบเดียวกับเรื่องของการเทรดหลักการ Demand/Supply เพราะตัว strong move ที่ออกไปจากกรอบ order block หรือถ้าเป็นระบบเทรดแนว demand/supply ก็จะเรียกตรงนี้ว่าเป็น Base เช่นอย่างข้างบนเป็น Demand Base ที่บอกว่าต้นตอความไม่สมดุล ในที่นี้คือ demand เกิน supply อยู่ตรงไหน ระบบเทรด demane/supply ก็จะอธิบายว่ามี unfilled orders ที่เหลืออยู่ตรงนั้นที่ยังไม่ได้ใช้ ดังนั้นเมื่อราคากลับมาด้วยการที่ขาใหญ่ดึงกลับมาเพื่อมาเปิดหรือให้ unfilled orders ที่เหลืออยู่ได้เข้าตลาด บอกว่าเป็นหลักการกระจายออเดอร์เพื่อเข้าเทรดพื้นที่เดียวกันของขาใหญ่ก็ว่าได้ เพราะขาใหญ่เปิดเทรดด้วยวอลลูมเยอะ ถ้าออเดอร์ตรงข้ามไม่มากพอพวกเขาก็จะหาทางทำให้ราคากลับมาเหมือนว่าราคาวิ่งสวนที่พวกเขาเปิดเทรดอีกรอบ เพราะพวกเขาจะได้เข้าเทรดเพิ่มได้ ทั้ง Order Block และ Supply/Demand ก็จะให้ความสำคัญที่เรื่อง Breakout ที่ออกจากกรอบ ต้องการเป็นการจากที่แรง เป็น momentum trading เมื่อการออกจบได้ ให้ออกมาเป็นรูปของ impulsive move หลักการออเดอร์ก็แบบเดียวกันกับที่อธิบายมาด้านบน ทั้งใช้เงื่อนไขเพื่อกดดันเทรดเดอร์ที่อยู่ในตลาดให้กลายเป็น trapped traders และส่งข้อมูลใหม่ออกไป ให้เทรดเดอร์ที่รอเข้ามี trading bias ไปทางที่พวกเขาเปิดเทรด ก็จะมีเทรดเดอร์ที่เปิด market orders ทางที่พวกเขาเปิดเทรดมาเอง
เนื่องจากเทคนิคระบบเทรดด้วย Order Block มีส่วน breakout ที่เป็นตัวยืนยัน การเทรดอย่างแรกเป็นการเทรดตอนราคากลับมาเทสพื้นที่กรอบ การเข้าเทรดให้รอจนกว่าราคามาถึงกรอบ และรอให้จนกว่าการทดสอบจบเพื่อความชัดเจน (แต่ถ้าท่านเทรดบ่อยๆ มั่นใจเรื่องออเดอร์ที่เกิดขึ้น สามารถเปิดทันทีแบบไม่ต้องรอการเทสก็ได้ แต่ต้องมีประสบการณ์มากพอ) หรืออาจเป็นการเปิดเทรดเพิ่มหลังจากที่ท่านได้เปิดเทรดตอนที่ราคาทำเบรคเกิดขึ้น และเมื่อเปิดเทรดแล้วใช้ stop loss ที่เกินกรอบมาหน่อยหรือจากเทสเสร็จสามารถขยับ stop loss ได้อีก
เทคนิคที่ 2 ให้มอง Order Block เป็น key level ถ้าไม่เห็นราคากลับมาเทสทันทีนานพอสมควรกว่าจะกลับมาเทรดสร้าง price structure เกิดขึ้นอื่น ทำให้ดูเหมือว่าจุดที่ราคากลับมาเทสไกลหรือนานให้มองเป็น key level แต่ยังต้องรอให้ราคาทดสอบที่ level เป็นสำคัญก่อนว่าการโต้ตอบปัจจุบันเปิดเผยอย่างไร เพราะเงื่อนไขความกดดันที่มาจาก trapped traders ที่อยู่ในตลาดจะต่างจากกับตอนที่เมื่อเกิด Order Block และอีกไม่นานราคากลับมาทดสอบ แบบด้านบนจะมีความเป็นไปได้สูง และราคาวิ่งเร็วไม่รอนาน เพราะเทรดเดอร์ที่อยู่ในตลาดตรงกรอบ Order Block มีส่วนช่วยเยอะในการทำให้เกิด market orders
จะเห็นว่าหลักการ ที่ออเดอร์ที่อยู่เบื้องหลัง Order Block นี้และการเข้าระบบเทรดไม่ได้ต่างจากเรื่องการเทรด Supply/Demand การเข้าใจว่าออเดอร์ทำงานอย่างไร มาจากไหนบ้าง เมื่อเพราะเงื่อนไขอะไร ก็จำเป็นต้องมองให้ออก เมื่อมองเป็นการอ่านชาร์ตเปล่าเพื่อหา trade setup ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทรดชาร์ตเปล่าอย่างเดียวหรือเทรด chart patterns ก็ตาม
ฟรี!ระบบเทรด
การวิเคราะห์แบบ Multi-time frame: ถ้าเราเทรดด้วยผลการวิเคระห์ price chart เป็นหลัก หรือเราเชื่อว่าถ้าเราอ่านชาร์ตเปล่าเป็น ชาร์ตเปล่าเพียงพอที่จะให้ข้อมูลท่านในระบบเทรด โดยไม่ใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหนเลย การรู้-เข้าใจตลาด รู้เทรดเดอร์ประเภทต่างๆ และความสามารถในการอ่าน price chart เป็นสิ่งจำเป็น เช่นเราคาขึ้น-ลงเพราะ จำนวนออเดอร์ระหว่าง sell และ buy orders เพิ่มไปในตลาดเพิ่ม liquidity แต่ละจุดๆ และ มี market orders หรือ market orders ที่มาจากการออกจากตลาด เช่น Stop loss เข้าไป เพื่อลบจำนวน liquidity เข้าใจหลักมุมมองตลาดต่างๆ เช่น Support/Resistance, Supply/Demand, Fibo, Price Action การรตั้ง Take profit และ Stop loss การวิเคราะห์จุดที่มอง ตั้งแต่ 2-3 timeframe จะทำให้ท่านเห็นโครงสร้างราคาที่เกิดขึ้น และกำลังให้ข้อมูลอะไรท่านและจะทำให้ท่านหาจุดเข้าระบบเทรดได้แคบลงและความเป็นไปได้การเทรดสูงขึ้น พวกนี้เราจะสามารถมองจากชาร์ตเปล่าอย่างไร
เช่นถ้าเป็น Day Traders เราอาจจะมอง ภาพรวมหรือจุดวิเคระห์หลักๆ จาก D1 และ H4 เป็นหลัก อาจดูชาร์ต W1 ประกอบด้วย เราก็จะหารายละเอียดจุดที่เรามอง หรือหาโครงสร้างออเดอร์ผ่าน price chart ที่ชาร์ต H1 หรือ M30เพื่อหาจุดที่ชัดเจนของ D1 แล้วค่อยไปหาจุดเข้า-ออกที่ ชารต M15/M5 เราก็จะได้ภาพที่ชัดขึ้น แนะนำให้ใช้ 2-3 ชาร์ตพอ เกินจากนั้นไปอาจทำให้สับสนได้ การวิเคราะห์แบบหลาย timeframes ทำให้ท่านไม่หลงทางและหาจังหวะการเข้าได้แม่นขึ้นเพราะ เห็นโครงสร้างราคาที่เกิดขึ้นแบบหลายมิติ โดยเห็นภาพรวมและเห็นจุดเคลื่อนไหวรายละเอียดใน timeframe ย่อย
การมองหาจุดเทรดจาก Supply/Deman, Support/Resistance หรือ key levels ต้องอย่าลืมว่าออเดอร์ทำงานอย่างไร liquidity เพิ่มและลดอย่างไร เพราะถ้ามี liquidity มาก จะทำให้พื้นที่นั้นโต้ตอบได้ดี ยิ่งใน timeframe น้อยลงไปก็จะเห็นได้ชัด อีกจุดหนึ่งที่ต้องใส่ใจ เมื่อท่านเห็นความเป็นไปได้สูงในการเข้าเทรดจาก timeframe ใหญ่ การลงไปดูใน timeframe ย่อยประกอบจะช่วยให้เห็นโครงสร้างราคาชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเห็น D1 demand ลองไปดู H1/M30 เพื่อดูพัฒนาการของราคาต่อจุดที่ท่านมองว่าราคากำลังบอกอะไร แล้วลงย่อยไปที่ชาร์ต M15/M5 เพื่อหาไทม์มิ่งในการเข้าและออกจากตลาด ท่านจะเห็นรายละเอียดว่า ขาใหญ่เริ่มเทรดจริงหรือยัง สถานะ liquidity ตอนนี้เป็นยังไง ดังนั้นการวิเคระห์ด้วยการมองชาร์ตต่าง timeframes จะทำให้ท่านหาจุดเข้าและออกได้ง่าย และที่สำคัญจะทำให้ท่านเห็นชัดว่าช่วงไหนที่ราคาน่าจะวิ่งผ่านไปไม่ยาก เพราะเรื่องหลักการออเดอร์ เมื่อ limit orders พื้นที่ๆ โดนลบไปด้วย market orders ช่วงผ่านมาตอนราคา retracement/test หรือ unfilled orders โดน filled กลายเป็นตำแหน่งที่เปิดในตลาด Positions พวกนี้สำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ออเดอร์ที่เปิดอยู่ติดลบ เพราะทางเลือกของ trapped traders จะมีแค่ว่าจะปิดเสียมากน้อยแค่ไหน จากมุมมองเรื่องออเดอร์ที่มองพวก Trapped Traders ประกอบ จะพบว่าอย่าง Imbalance ระหว่างออเดอร์ใหม่ๆ หรือไม่กี่วัน ที่สะท้อนการเข้าตลาดจริงของขาใหญ่ที่เห็นจากชาร์ต D1 ราคาค่อนข้างจะโต้ตอบดีเพราะหลักการออเดอร์ที่มาจากเทรดเดอร์พวกที่อยู่ในตลาด โดยเฉพาะพวกที่ติดลบ จากหลักการนี้ อาจทำให้เรามองเห็นได้ว่า พื้นที่ๆ มี เทรดเดอร์ติดลบสามารถมองเป็นพื้นที่ supply/demand ได้ เช่นการหาโอกาสเทรด พวกแนวรับกลายเป็นแนวต้าน แนวต้านกลายเป็นแนวรับ Supply กลายเป็น Demand และ Demand กลายเป็น Supply การเทรดพวกนี้ใช้การมองต่าง timeframes ประกอบจะทำให้ท่านเป็นจุดเข้าได้ชัด อีกอย่างหนึ่งต้องเข้าใจเมื่อวิเคระห์จุดที่สนใจต่าง timeframes รูปแบบแท่งเทียนจะต่างกันออกไป ท่านต้องเข้าใจหลักกการนำเสนอของแท่งเทียน Candlestick candles โดยเฉพาะรูปแบบแท่งเทียน price action เช่น Pin Bar หรือ Engulfing Bars เมื่อมองในชาร์ต timeframe ที่เล็กกว่า ต้องหัดฝึกการวิเคราะห์ต่าง timeframes และอาจใช้ tools ที่ช่วยสร้างขบวนการวิเคราะห์ต่าง timeframes จะได้ชำนาญยิ่งขึ้น การหาจุดเข้า-ออก จาก timeframe น้อย หลังจากผ่านการวิเคราะห์หลาย timeframes จะทำให้เข้า-ออกตรงจุดมากกว่าเดิม เช่น วิเคราะห์ D1/H4 เป็นหลัก H1/M30 หากจุดที่ต้องการโฟกัสเรื่องออดอร์กับโครงสร้างที่กำลังเกิด และ หาจุดเข้าที่ M15/M5 จะทำให้เข้า-ออกได้ดียิ่งขึ้น
อีกอย่างร่องร่อยการเปิดออเดอร์ที่มาจากตลาดจริง พร้อมมี trapped traders ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน จะเป็นพื้นที่ๆ ทำงานดีกว่าพื้นที่เกิดไกลๆ เมื่อมองหาจุดที่เป็นต้นตอ และจุดที่ราคากลับมา ดูอย่าง ชาร์ต D1 ประกอบต่อไปนี้ ถ้าระยะห่างมาก โดยเฉพาะ D1 ขึ้น ต้องรอ การโต้ตอบ D1 เปิดเผยข้อมูลใหม่ก่อนค่อยจะเห็นโอกาสเทรดชัดขึ้นการวิเคระห์ต่าง timeframes อาจประยุกต์ได้หลายอย่าง เช่น Day Traders อาจใช้ ชารต์ D1/H4 เป็นตัวหาจุดหลัก อาจมอง W1 ประกอบ ใช้ H1/M30 เพื่อดูโครงสร้างราคาและพัฒนาการราคาและหาจุดอ้างอิงที่ชัดเจน และ M15/M5 เป็นจุดเข้า-ออก, Scalper อาจจะใช้ H1 เป็นหลัก อาจมีตรวจเช็คกับชารต H4, หาจุดอ้างอิงชัดๆ จาก M30/M15 แล้วเปิดเข้าและออกที่ M5/M1 เป็นต้น ให้อ่านโครงสร้างราคาและ price action ประกอบ การอ่าน price action ทางแท่งเทียน อย่าไปอ่านแค่บาร์ต่อบาร์ ต้องอ่านเป็น อาการ (effort and result) ว่า บาร์พวกนี้ต่อเนื่องบอกอะไร เช่น ให้ความสำคัญการปิด (bar close) ของแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่ (body size) และ ดูหาง (wick) ยิ่งเป็นการปิดในพื้นที่แนวรับต้าน
ตัวชี้วัด ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ที่ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณ1 ในที่นี้เราพูดถึง Forex เราก็จะพูดถึงเรื่องของราคา เพราะมันคือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ตัวชี้วัดนี้จึงเป็นตัวชี้วัดด้านราคาที่ใช้ในระบบเทรด forex เป็นตัวที่สามารถบอกข้อมูลสำหรับระบบเทรดของคุณ ได้แก่การบอกแนวโน้มของกราฟแท่งเทียน ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ทิศทางราคาว่าจะไปในทิศทางใด รวมถึงตัว Indicator บางตัวนั้นสามารถบอกจุดที่คุณจะเปิดคำสั่งซื้อ หรือคำสั่งขายได้ด้วยครับ โดยเจ้าIndicator มักมีชื่อเรียกสั้น ๆ สำหรับคนไทยอีกชื่อหนึ่งว่า “อินดี้”
อินดิเคเตอร์บนระบบเทรด Forex ที่ดีที่สุดจะเป็นอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายและจิตวิทยาของคุณ ดังนั้นมันจึงไม่มีอินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดบนระบบเทรด Forex มีแต่ตัวที่เหมาะกับสไตล์การซื้อขายโดยรวมและครอบคลุม แต่ข่าวดีก็คือ มีอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคบนระบบเทรด Forex มีให้เลือกอยู่อย่างหลายรูปแบบ และจากประสบการณ์ของคุณบวกกับใช้เวลาทดลองกับอินดิเคเตอร์ และคุณก็จะสามารถหาอินดิเคเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับคุณเอง
1.เลือกระบเทรด forex indicator ที่เสียเงินก่อนเสมอ
ถ้าจะต้องเริ่มต้นใช้ระบบเทรด forex indicator แล้ว แนะนำว่าให้ลองมองหาระบบ forex indicator ที่คุณจะต้องจ่ายเงินซื้อมาเป็นอันดับแรก รู้ว่าของฟรีในวงการระบบเทรด forex indicator นั้นมีอยู่จริง แต่ในเมื่อเราเพิ่งเริ่มต้น เงินทุนของเราก็ยังมีไม่มาก การเลือกระบบเทรด forex indicator ที่เราต้องจ่ายเงินออกไปก่อน ส่งผลต่อความปลอดภัยในอนาคตของเรามากกว่า ดังนั้นยอมจ่ายก่อน แล้วคุณจะรู้ว่าการลงทุนด้วยเงิน บางทีมันก็ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นมากทีเดียว
2.ทดสอบระบบเทรด forex indicator ที่ฟรีบ้าง
ในระหว่างที่คุณซื้อระบบเทรด forex indicator และเริ่มทำการทดสอบ อยากให้คุณลองเปิดบัญชีแกประเภทหนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นทำการทดสอบระบบเทรด forex indicator ที่คุณไม่ต้องจ่ายเงินดูประกอบกัน บางทีแล้วการเลือกระบบเทรด forex indicator ที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ก็เป็นตัวช่วยที่สำคัญ ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จทางการเงินของคุณในอนรคตก็เป็นได้ และนี่ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆเลยทีเดียว เคยพบกับระบบเทรด forex indicator ที่สามารถช่วยตัดสินใจได้ดี และมีความคลาดเคลื่อนน้อย (ปัจจุบันยังใช้อยู่) จนแทบลืมของเสียเงินไปเลย
3.อย่าดูถูกคนไทย
ถ้าคุณเจอคนไทยทำระบบเทรด forex indicator ออกมา อย่าเพิ่งไปรังเกียจเขา หรือมองว่า ทำไมต้องทำด้วย มันน่าจะไม่ดี หรือไม่ Work บอกเลย คนไทยกันเองนี่ล่ะทำระบบเทรด forex indicator ได้เก่งสุดยอดมากเลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นนะหรือ เพราะคนไทย มีสัดส่วนของผู้ที่เทรด forex มากติดอันดับโลก และการที่มีคนเป็นจำนวนมากเทรด forex นี้เอง มันทำให้ผลักดันให้มีคนเก่งปรากฎเข้ามาในตลาดมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นอย่าดูเบาคนไทยโดยเด็ดขาด รับรองว่าระบบเทรด forex indicator ชองไทยนั้นเด็ด! แน่นอน
4.Back Test สำคัญที่สุดใน 3 โลก
ในโลกของระบบเทรด forex indicator การเลือกที่จะ BT ข้อมูลก่อนอย่างน้อยสัก 3 เดือน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณสามารถทำกำไรในตลาด forex ได้จริงครับ อย่าลืมทำตามข้อนี้เสมอๆ ตั้งค่าทดสอบอย่างน้อย 3 เดือน และลองดูว่ามีค่าที่แสดงผล Error ออกมาคิดเป็น % ของความผิดพลาดนั้นเป็นกี่จุด สิ่งนี้จะเป็นตัวที่การันตีถึงความสำเร็จในการเทรด forex ในอนาคต
5.อย่าฟังหรือเชื่อข้อมูลที่คุณนั้นไม่ได้ทดสอบด้วยตนเอง
เคยเสียเงินเป็นจำนวนมากจากการที่ มีคนบอกว่าระบบเทรด forex indicator นั้นดี โดยที่ผมไม่ได้ทดสอบด้วยตนเอง เพราะบางทีแล้วระบบเทรด forex indicator บางตัวนั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เราเป็นคนใช้ มันมีค่าที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจงเลือกใช้แต่เฉพาะที่เราสามารถทดสอบได้เท่านั้นพอ ท่องเป็นหลักการสำคัญไปเลยว่า ถ้าไม่ทดสอบ ก็ไม่มีทางที่จะซื้อมาได้อย่างเด็ดขาด! อย่าไปลงทุนในสิ่งที่เรายังไม่มั่นใจ
6.ย้อนหลังอย่างน้อย 3 เดือน
กล่าวไปแล้วในข้อข้างต้น แต่อยากมาย้ำอีกรอบว่าคุณจะต้องทำการทดสอบระบบเทรด forex indicator อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อตรวจสอบค่าที่มัน Error ยิ่งตรวจสอบมากเท่าไหร่ และคำนวณ % ของค่าความผิดพลาดออกมามากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถมองเห็นยอดเงิน % ในการทำกำไรของคุณมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตรงนี้ล่ะถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากๆ และมักพบว่าระบบเทรด forex indicator ที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ 3 เดือน มักสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดี
7.ตรวจสอบระบบเทรด forex indicator ในช่วงข่าวด้วย
มีอยู่อย่างหนึ่งที่คุณอาจต้องทำคือ อย่าลืมตรวจสอบระบบเทรด forex indicator ในช่วงที่มีข่าวด้วยนะครับ บางทีแล้วในช่วงนั้นอาจเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะสามารถช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสในทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ดังนั้นอย่าลืมสิ่งที่ผมบอกกล่าวไปว่า การตรวจสอบข้อมูลในช่วงข่าวก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง
8.บางทีเว็บระบบเทรด forex indicator ที่ดีมีคุณภาพก็เป็นตัวบ่งชี้
ลองมองดูว่าเว็บที่เป็นระบบเทรด forex indicator นั้นมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหนด้วย บางทีสิ่งง่ายๆนี้เองก็เป็นตัวที่เราใช้บ่งชี้ถึงความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพของระบบเทรด forex indicator ที่เราจะเลือกใช้งานด้วย ดังนั้นเน้นไปที่คุณภาพของการบ่งชี้คือสิ่งที่ดีที่สุด เว็บที่ดีกว่าย่อมได้เปรียบกว่าเว็บที่มีคุณภาพต่ำอยู่แล้ว
9.ทดสอบเงินจริง 30% ก่อน
จงทดสอบที่เงินจริงของคุณก่อนเมื่อเราได้ระบบเทรด forex indicator ที่เราถูกใจและผ่านการทดสอบในสนามมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงคราวที่จะต้องเทรดจริง อยากให้คุณลงมือใช้เงินเพียง 30% เพื่อทำการทดสอบก่อน เพราะผมพบว่าสิ่งที่อยู่ในสนามสำรองนั้น เวลาขึ้นไปที่สนามจริง ก็จะมีผลลัพธ์ที่ต่างกันเช่นกัน
10.อย่าลืมเรื่องของระบบ VPS
อย่าลืมในเรื่องของ VPS เรื่องนี้ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีความสำคัญครับ กล่าวคือ หากคุณทำการใช้ระบบเทรด forex indicator และรันบน EA คุณมีความจำเป็นต้องเปิดโปรแกรมหรือเว็บไว้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องรันมันให้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นอย่าลืมในเรื่องของระบบ VPS ที่จะมารองรับเรื่องราวเหล่านี้ด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาคอมดับ คุณอาจขาดทุนกะทันหันเลยก็ได้
11.หมั่นตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเริ่มใช้ระบบเทรด forex indicator ไปสักระยะ การตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ คือวิธีการที่ดี และช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลว่ารายได้ของคุณนั้นจะเป็นอย่างไร บางทีในระหว่างการรัน EA ด้วยการใช้ระบบเทรด forex indicator ที่คุณติดตั้ง อาจเกิดปัญหาค้าง หรือเป็นปัญหาทางเทคนิค ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น คุณจะสามารถแก้ปัญหาได้ทัน แต่ถ้าไม่หมั่นเข้ามาตรวจสอบเลย อันนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ลุกลามไปในอนาคตสำหรับตัวคุณก็ได้
12.แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ที่เคยใช้ Indicator นั้นๆ
ไหนๆก็มีระบบเทรด forex indicator ที่เราซื้อมาใช้แล้ว อย่าลืมแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์กันระหว่างผู้ที่ใช้ กับคนอื่นๆด้วย เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือ และแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะทำให้คุณตัดสินใจทั้งการเปลี่ยนแปลง การไม่ใช้งานมัน หรืออาจเป็นการอัพเดทระบบให้มันดีขึ้นกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนี้กับคนอื่นๆ
13.ถ้าขาดทุนต้องหยุด ห้ามใช้ต่อเด็ดขาด
ถ้าระหว่างที่ใช้ระบบเทรด forex indicator แล้วเกิดภาวะขาดทุน ยังงี้ต้องหยุดการใช้ออกไปก่อน เพราะอาจเกิดอันตรายอย่างมากต่อกระสุนของคุณที่มี บางทีระบบเทรด forex indicator ตัวนั้นๆอาจหมดอายุแล้ว หรือไม่สามารถที่จะใช้งานได้แล้วอีกต่อไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหยุดการใช้งาน
14.อย่าใช้ระบบเทรด forex indicator เพียงแค่เจ้าเดียว
ถ้าคุณเจอของดี อย่าเลือกใช้บริการแต่เพียงเจ้าเดียวเท่านั้นแต่ให้เลือกใช้ระบบเทรด forex indicator ของเจ้าอื่นๆที่มีคุณภาพไม่แพ้กันประกอบไปด้วย เพื่อที่ว่าคุณจะได้มีโอกาสในการเพิ่มพูนแนวทางในการสร้างความสำเร็จทางการเงินเพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกครั้งครับ อย่ารอช้า จงทำแล้วคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
1.ช่วยบอกเทรน trend ว่าเป็นไปในทิศทางใด หรือว่าคุณนั้นสามารถเทรดไปในทิศทางใดจึงจะปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณใช้ indicator ประเภทไหน เนื่องจาก indicator สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ indicator ที่ใช้บอกทิศทาง (เทรนด์) indicator ที่ใช้บอกจุดกลับตัว Oscillator ซึ่งจะเป็นลักษณะการแกว่งของราคา การบอกปริมาณการซื้อขาย Valume เป็นต้น
2.สามารถบอกจุดทำสัญญาณซื้อ หรือขายได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งบอกจุดที่เราจะทำการปิดคำสั่งซื้อ เมื่อเราสามารถวิเคราะห์และสามารถใช้เครื่องมือ indicator ได้มันก็จะบอกเราถึงจุดซื้อขาย ตามเงื่อนไขที่เราได้ทำการศึกษาและกำหนดในการเทรด
3.ช่วยลดความเสี่ยงในการเทรด forex ให้เป็นมากกว่าการพนัน แต่คุณสามารถพยากรณ์สิ่งต่างๆได้จากกราฟ ทำให้มันเป็นมากกว่าการแทงหวยขึ้นหรือลงของราคานั่นเอง
4.บอกจุด stop loss ของคุณได้อย่างชัดเจน ทำให้คุณมีข้อมูลตัดสินใจก่อนทำการเทรดต่อ เพื่อใช้ในการป้องกันความเสี่ยง มันบอกเราว่า ราคาเท่านี้มีความเสี่ยงสูงและคุณต้องหยุดการเทรด ณ จุดนี้
5.บอกจุดที่คุณนั้นควรที่จะ let Profit Run อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอย่างไร ซึ่งจะบอกว่า ช่วงเวลานี้ราคายังไปต่อ ทำให้เรานั้นสามารถคาดเดาได้ว่า มันไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ และสามารถสร้างกำไรเพิ่มขึ้นได้
#แจกฟรี!ระบบเทรด