กลยุทธ์ London Breakout: ปลดล็อกกำไรจากการเทรด Forex รายวันอย่างมืออาชีพ
ในโลกของการ เทรด Forex ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย กลยุทธ์ London Breakout ถือเป็นหนึ่งใน ระบบการซื้อขายระหว่างวัน (Intraday Trading System) ที่ได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ หากถูกนำไปใช้อย่างเข้าใจและมีวินัย กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูงในช่วงเปิดตลาดลอนดอน เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและทรงพลัง ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 30-50 pip ต่อวัน จาก คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs) ได้อย่างไม่ยากเย็น บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของกลยุทธ์ London Breakout ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นตอนการใช้งานอย่างละเอียด ข้อควรระวัง และการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของคุณได้อย่างแท้จริง
ทำความเข้าใจแก่นแท้ของกลยุทธ์ London Breakout
London Breakout คืออะไร?
กลยุทธ์ London Breakout คือเทคนิคการเทรดที่อาศัยหลักการที่ว่าตลาด Forex มักจะมีการเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางหรือเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ (Range-bound) ในช่วง ตลาดเอเชีย (Tokyo Session) เนื่องจากปริมาณการซื้อขายยังไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาด ลอนดอน (London Session) เริ่มเปิดทำการ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ในยุโรปเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาด ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มที่จะทะลุกรอบที่สร้างไว้ในช่วง Tokyo Session กลยุทธ์นี้จึงมุ่งเน้นการจับจังหวะ “การทะลุ” (Breakout) ของกรอบราคานั้น เพื่อเข้าทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและมีทิศทางชัดเจน
การทำความเข้าใจ พฤติกรรมราคา ในแต่ละช่วงตลาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วง Tokyo Session เนื่องจากตลาดมีสภาพคล่องต่ำและขาดแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจน ราคามักจะแกว่งตัวอยู่ภายในขอบเขตจำกัด สร้างเป็นโซนแนวรับและแนวต้านชั่วคราว เมื่อเข้าสู่ London Session ที่มีกิจกรรมการซื้อขายหนาแน่นขึ้น “พลัง” ที่สะสมอยู่ในกรอบแคบๆ นี้จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีนัยสำคัญ นี่คือหัวใจสำคัญที่กลยุทธ์ London Breakout ใช้ในการแสวงหากำไร
ทำไมต้อง London Session?
ช่วงเวลา London Session ถือเป็นหนึ่งใน ช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงสุด ในตลาด Forex ด้วยเหตุผลหลายประการ:
- ปริมาณการซื้อขายมหาศาล: ลอนดอนเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเปิดทำการของสถาบันการเงิน ธนาคาร และกองทุนเฮดจ์ฟันด์จำนวนมากในยุโรป ส่งผลให้สภาพคล่องและปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- การทับซ้อนของตลาด: London Session มีช่วงเวลาทับซ้อนกับ Tokyo Session ในช่วงต้น และทับซ้อนกับ New York Session ในช่วงท้าย การทับซ้อนของตลาดเหล่านี้ยิ่งเพิ่มปริมาณกิจกรรมการซื้อขายและความผันผวน
- การประกาศข่าวเศรษฐกิจ: ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศยูโรโซนมักจะประกาศในช่วง London Session ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรง การรับรู้ถึง ข่าวเศรษฐกิจ และปฏิกิริยาของตลาดต่อข่าวเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนใช้กลยุทธ์
ช่วงเวลาตลาด Forex และความผันผวน
ความสำเร็จของ London Breakout ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจ ช่วงเวลาตลาด Forex เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่าง Tokyo Session และ London Session
- Tokyo Session (ประมาณ 07:00 – 16:00 น. ตามเวลาประเทศไทย): ในช่วงนี้ ตลาดมักจะเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และอยู่ในกรอบราคาที่จำกัด เนื่องจากกิจกรรมการซื้อขายหลักมาจากเอเชีย ซึ่งมีสภาพคล่องน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดในยุโรปและอเมริกา นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องใช้ในการกำหนดขอบเขตของกรอบราคา (Range) สูงสุดและต่ำสุด
- London Session (ประมาณ 15:00 – 23:00 น. ตามเวลาประเทศไทย): เมื่อตลาดลอนดอนเปิดทำการ ตลาดจะเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความผันผวนและปริมาณการซื้อขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดโอกาสที่ราคาจะทะลุกรอบที่สร้างไว้ในช่วง Tokyo Session การจับจังหวะการทะลุในช่วงต้นของ London Session จึงเป็นหัวใจของกลยุทธ์นี้
คู่สกุลเงินที่เหมาะสม
กลยุทธ์ London Breakout ทำงานได้ดีที่สุดกับ คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs) ที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงิน GBP, EUR และ USD เนื่องจากคู่เงินเหล่านี้มีสภาพคล่องสูงและมักจะตอบสนองต่อข่าวสารเศรษฐกิจในช่วง London Session ได้ดี ตัวอย่างคู่เงินที่แนะนำได้แก่:
- EURUSD: คู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดในโลก มีความผันผวนที่ดีในช่วง London Session
- GBPUSD: ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปิดตลาดลอนดอน มักมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
- NZDUSD, AUDUSD: คู่เงินจากประเทศเศรษฐกิจสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นในตลาดโลกและกิจกรรมใน London Session
- USDCHF, USDCAD, USDJPY: แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับยุโรป แต่การซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นใน London Session ก็ส่งผลต่อคู่เงินเหล่านี้ด้วย
การเลือกคู่สกุลเงินที่มี สเปรดต่ำ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดต้นทุนในการเทรดและเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร
ขั้นตอนการใช้งานกลยุทธ์ London Breakout อย่างละเอียด
เพื่อให้การใช้งานกลยุทธ์ London Breakout เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เทรดเดอร์จำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่แม่นยำและเข้าใจหลักการเบื้องหลังในแต่ละขั้นตอนอย่างถ่องแท้
1. การระบุช่วงราคาใน Tokyo Session
สิ่งแรกและสำคัญที่สุดในการใช้กลยุทธ์นี้คือการกำหนดขอบเขตสูงสุดและต่ำสุดของราคาที่เกิดขึ้นในช่วง Tokyo Session (โดยทั่วไปคือ 07:00 – 15:00 น. ตามเวลาประเทศไทย)
- การกำหนดกรอบราคา: ให้สังเกต แท่งเทียน บนกราฟ และลากเส้นแนวนอน (Horizontal Line) ที่ราคาต่ำสุด (Low) และราคาสูงสุด (High) ที่เกิดขึ้นในช่วง Tokyo Session นั้นๆ เส้นเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็น แนวรับและแนวต้าน ชั่วคราวของกรอบราคา
- ความสำคัญของการระบุกรอบ: กรอบราคาที่ชัดเจนนี้คือ “สนามประลอง” ที่เราจะเฝ้ารอการทะลุออกไป หากกรอบราคานี้มีความแคบ แสดงว่าตลาดสะสมพลังงานไว้มาก และมีโอกาสสูงที่จะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เมื่อ London Session เปิด หากกรอบกว้างเกินไป อาจบ่งชี้ถึงความผันผวนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งควรหลีกเลี่ยง
2. การตั้งค่า Pending Orders อย่างแม่นยำ
เมื่อระบุกรอบราคา Tokyo Session ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งค่าคำสั่งซื้อขายล่วงหน้า (Pending Orders) เพื่อจับจังหวะการ Breakout
-
Buy Stop Order: ตั้งค่า Buy Stop ที่ราคา 4 pips เหนือราคาสูงสุด (High) ของ Tokyo Session
- เหตุผล: การตั้งค่าเหนือ High เล็กน้อย 4 pips มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น Buffer ป้องกัน False Breakout (การทะลุหลอก) ที่ราคาอาจแตะขอบเขตแล้วกลับตัวเข้ามาในกรอบเดิม นอกจากนี้ยังเผื่อสำหรับค่า Spread ของโบรกเกอร์ด้วย
-
Sell Stop Order: ในทำนองเดียวกัน ตั้งค่า Sell Stop ที่ราคา 4 pips ต่ำกว่าราคาต่ำสุด (Low) ของ Tokyo Session
- เหตุผล: เช่นเดียวกับ Buy Stop การตั้งค่าต่ำกว่า Low 4 pips เป็นการยืนยันการทะลุลงและป้องกัน False Breakout ที่อาจเกิดขึ้น
กฎสำคัญ: เมื่อคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งถูกเปิดใช้งาน (เช่น Buy Stop ถูก Trigger) ให้ยกเลิกคำสั่ง Pending Order อีกฝั่งหนึ่งที่เหลืออยู่ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิด Position ในทิศทางตรงกันข้ามโดยไม่ตั้งใจ
3. การกำหนดจุด Stop Loss (SL) ที่มีประสิทธิภาพ
Stop Loss (SL) หรือจุดตัดขาดทุน คือเครื่องมือสำคัญที่สุดในการ บริหารความเสี่ยง และปกป้องเงินทุนของคุณ
-
สำหรับรายการซื้อ (Buy Entry): ตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่ราคาต่ำสุด (Low) ของ Tokyo Session นั้นๆ
- เหตุผล: หากราคาทะลุ High ขึ้นไปแล้ว แต่กลับร่วงลงมาต่ำกว่า Low เดิมของ Tokyo Session นั่นบ่งชี้ว่าแนวโน้มการ Breakout อาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การปิด Position ที่จุดนี้จะช่วยจำกัดความเสียหาย
-
สำหรับรายการขาย (Sell Entry): ตั้งค่า Stop Loss ไว้ที่ราคาสูงสุด (High) ของ Tokyo Session นั้นๆ
- เหตุผล: ในทางกลับกัน หากราคาทะลุ Low ลงมาแล้ว แต่กลับดีดตัวขึ้นสูงกว่า High เดิมของ Tokyo Session การปิด Position ที่จุดนี้จะช่วยป้องกันการขาดทุนที่อาจบานปลาย
4. การตั้งเป้าหมาย Take Profit (TP) ด้วย Risk-Reward Ratio
การกำหนด Take Profit (TP) หรือจุดทำกำไร ควรทำอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักการ Risk-Reward Ratio
-
อัตราส่วน 1:2: สำหรับกลยุทธ์ London Breakout แนะนำให้ตั้งเป้าหมายกำไรที่อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:2 ซึ่งหมายความว่า หากคุณเสี่ยง 10 pips คุณควรตั้งเป้าทำกำไร 20 pips
- เหตุผล: อัตราส่วน 1:2 เป็นอัตราส่วนที่สมเหตุสมผลและสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวได้ แม้ว่าอัตราการชนะ (Win Rate) ของคุณจะไม่สูงมากนักก็ตาม การรักษาวินัยในการทำกำไรและตัดขาดทุนตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ตัวอย่างการคำนวณ Stop Loss และ Take Profit
สมมติว่าคุณกำลังเทรด EURUSD และได้ระบุช่วงราคา Tokyo Session ดังนี้:
- ราคาสูงสุด (High) ของ Tokyo Session: 1.08500
- ราคาต่ำสุด (Low) ของ Tokyo Session: 1.08200
จากข้อมูลนี้ การคำนวณจะเป็นดังนี้:
- ระยะห่างของกรอบราคา: 1.08500 – 1.08200 = 300 จุด หรือ 30 pips
- คำสั่ง Buy Stop: ตั้งที่ 1.08500 + 0.00040 (4 pips) = 1.08540
- คำสั่ง Sell Stop: ตั้งที่ 1.08200 – 0.00040 (4 pips) = 1.08160
หาก Buy Stop ถูก Trigger ที่ 1.08540:
- Stop Loss (SL): ตั้งที่ Low ของ Tokyo Session คือ 1.08200
- ระยะ Stop Loss: 1.08540 – 1.08200 = 340 จุด หรือ 34 pips
- Take Profit (TP) ด้วยอัตราส่วน 1:2: 1.08540 + (34 pips * 2) = 1.08540 + 68 pips = 1.09220
หาก Sell Stop ถูก Trigger ที่ 1.08160:
- Stop Loss (SL): ตั้งที่ High ของ Tokyo Session คือ 1.08500
- ระยะ Stop Loss: 1.08500 – 1.08160 = 340 จุด หรือ 34 pips
- Take Profit (TP) ด้วยอัตราส่วน 1:2: 1.08160 – (34 pips * 2) = 1.08160 – 68 pips = 1.07480
การทำตารางเพื่อสรุปข้อมูลอาจช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น:
| ประเภทคำสั่ง | จุดเข้า (Entry) | Stop Loss (SL) | Take Profit (TP) (1:2) | ระยะ SL (pips) | ระยะ TP (pips) |
|---|---|---|---|---|---|
| Buy Stop | 1.08540 | 1.08200 | 1.09220 | 34 pips | 68 pips |
| Sell Stop | 1.08160 | 1.08500 | 1.07480 | 34 pips | 68 pips |
ข้อควรระวังและสถานการณ์ที่ควรหลีกเลี่ยง
แม้กลยุทธ์ London Breakout จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้กลยุทธ์นี้ เพื่อป้องกันการขาดทุนที่ไม่จำเป็นและ False Breakout
ช่วงราคา Tokyo Session ที่กว้างเกินไป
- คืออะไร: หากกรอบราคา (High – Low) ที่สร้างขึ้นในช่วง Tokyo Session มีขนาดกว้างมาก เช่น มากกว่า 50-70 pips (ขึ้นอยู่กับคู่สกุลเงินและความผันผวนโดยเฉลี่ย)
- ทำไมต้องหลีกเลี่ยง: กรอบราคาที่กว้างเกินไปบ่งชี้ว่าตลาดมีความผันผวนค่อนข้างสูงอยู่แล้วในช่วง Tokyo Session ซึ่งอาจทำให้การ Breakout ใน London Session มีพลังลดลง หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติที่ไม่ได้มีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังทำให้ระยะ Stop Loss ของคุณกว้างเกินไป ซึ่งขัดต่อหลักการ บริหารความเสี่ยง และลดอัตราส่วน Risk-Reward ลง
- เคล็ดลับ: ควรมองหากรอบราคาที่ค่อนข้างแคบและแน่น แสดงถึงการสะสมพลังของตลาดก่อนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ความผันผวนสูงใน Tokyo Session
- คืออะไร: หากในช่วง Tokyo Session มีการเคลื่อนไหวของราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ได้อยู่ในกรอบที่แน่นหนา
- ทำไมต้องหลีกเลี่ยง: ความผันผวน ที่สูงผิดปกติในช่วง Tokyo Session อาจเกิดจากข่าวสำคัญที่ถูกประกาศออกมา หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งทำให้ตลาดไม่มีการสะสมพลังงานที่ชัดเจน การพยายามเทรด Breakout ในสถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่ False Breakout ได้ง่าย เนื่องจากราคาอาจทะลุไปในทิศทางหนึ่งแล้วกลับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณติดกับดักและขาดทุน
- ผลลัพธ์: การเข้าเทรดในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนสูงเกินไปอาจทำให้คุณถูก Stop Loss บ่อยครั้ง หรือถูกหลอกให้เข้า Position ในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง
การบริหารความเสี่ยง (Money Management) หัวใจสู่ความสำเร็จ
ไม่ว่ากลยุทธ์การเทรดใดจะดีเพียงใด หากขาด การบริหารความเสี่ยง และเงินทุนที่เหมาะสม โอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาวก็แทบจะเป็นศูนย์ กลยุทธ์ London Breakout ก็เช่นกัน การจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ทำไม Money Management จึงสำคัญ?
- ปกป้องเงินทุน: เป้าหมายอันดับแรกของ Money Management คือการปกป้องเงินทุนเริ่มต้นของคุณจากการขาดทุนจำนวนมาก ทำให้คุณสามารถอยู่ในตลาดได้นานพอที่จะเรียนรู้และทำกำไรในระยะยาว
- ควบคุมอารมณ์: การมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนจะช่วยลดความกดดันทางอารมณ์ และป้องกันการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่เกิดจากความกลัวหรือความโลภ
- เพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว: ด้วยการจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้ง คุณจะสามารถทนต่อการขาดทุนติดต่อกันได้หลายครั้ง โดยที่เงินทุนของคุณยังคงอยู่ เพื่อรอโอกาสในการทำกำไรครั้งใหญ่
กฎ 1-2% Rule
- คืออะไร: กฎ 1-2% Rule คือหลักการที่เทรดเดอร์มืออาชีพนิยมใช้ โดยกำหนดว่าคุณไม่ควรเสี่ยงเงินเกิน 1% หรือ 2% ของเงินทุนทั้งหมดในบัญชีสำหรับการเทรดแต่ละครั้ง
- วิธีการคำนวณ: หากคุณมีเงินทุน 1,000 USD และคุณใช้กฎ 1% คุณจะเสี่ยงได้ไม่เกิน 10 USD ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง การคำนวณขนาด Lot Size จะต้องสอดคล้องกับระยะ Stop Loss และมูลค่าความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้นี้ (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณ Lot)
- ผลลัพธ์: การปฏิบัติตามกฎนี้จะช่วยให้คุณสามารถอยู่รอดในตลาดได้ แม้จะต้องเผชิญกับการขาดทุนติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้คุณมีโอกาสฟื้นตัวและกลับมาทำกำไรในอนาคต
ความสำคัญของการทดสอบด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account)
- คืออะไร: บัญชีทดลอง (Demo Account) คือบัญชีซื้อขายที่จำลองสภาพแวดล้อมของตลาดจริง แต่ใช้เงินเสมือนจริงในการเทรด
-
ทำไมต้องใช้: ก่อนที่คุณจะนำกลยุทธ์ London Breakout หรือกลยุทธ์ใดๆ ไปใช้กับบัญชีจริง คุณ ต้อง ทดสอบอย่างละเอียดในบัญชีทดลองเป็นระยะเวลา 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย
- ฝึกฝนและสร้างความคุ้นเคย: ช่วยให้คุณเข้าใจกลไกของกลยุทธ์ ปรับแต่งพารามิเตอร์ต่างๆ และสร้างความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรด
- ประเมินประสิทธิภาพ: คุณจะสามารถเก็บสถิติอัตราการชนะ (Win Rate), Risk-Reward Ratio เฉลี่ย, และ Drawdown สูงสุด เพื่อประเมินว่ากลยุทธ์นี้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณหรือไม่
- พัฒนาวินัย: การทดสอบในบัญชีทดลองช่วยให้คุณฝึกฝนวินัยในการปฏิบัติตามกฎของกลยุทธ์ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียเงินจริง
- ถ้า…จะเป็นอย่างไร: หากคุณไม่สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในบัญชีทดลอง ก็ไม่ควรนำกลยุทธ์นี้ไปใช้กับบัญชีจริงโดยเด็ดขาด เพราะนั่นหมายความว่าคุณยังไม่เข้าใจกลยุทธ์ดีพอ หรือกลยุทธ์นั้นยังไม่เหมาะกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกลยุทธ์ London Breakout
กลยุทธ์ London Breakout เหมาะกับเทรดเดอร์แบบใด?
กลยุทธ์ London Breakout เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบการซื้อขายระยะสั้น (Intraday Trader) ที่สามารถเฝ้าดูกราฟในช่วงเวลาเปิดตลาดลอนดอน (ประมาณ 15:00 – 23:00 น. ตามเวลาประเทศไทย) และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจหลักการ Price Action และการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์นี้ใช้ได้กับทุกคู่สกุลเงินหรือไม่?
ไม่แนะนำให้ใช้กับทุกคู่สกุลเงิน กลยุทธ์นี้ทำงานได้ดีที่สุดกับ คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) ที่มีสภาพคล่องสูงและมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเงิน GBP, EUR, USD เช่น EURUSD, GBPUSD, AUDUSD, NZDUSD, USDCHF, USDCAD, USDJPY เนื่องจากคู่เงินเหล่านี้มักมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในช่วง London Session
ควรใช้ Timeframe ใดสำหรับกลยุทธ์ London Breakout?
โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์ London Breakout มักจะใช้บน Timeframe ที่สั้นลง เช่น M15 หรือ M30 ในการระบุ High/Low ของ Tokyo Session และใช้ M5 หรือ M15 ในการเฝ้ารอ Breakout เพื่อจับจังหวะการเข้าที่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์บางคนอาจใช้ Timeframe H1 เพื่อดูภาพรวมของตลาดก่อนตัดสินใจ
จะป้องกัน False Breakout ได้อย่างไร?
การป้องกัน False Breakout ทำได้หลายวิธี:
- ใช้ Buffer: ตั้ง Pending Order ห่างจาก High/Low ของ Tokyo Session ประมาณ 4 pips
- ยืนยันด้วยแท่งเทียน: รอให้แท่งเทียนปิดยืนยันเหนือ/ใต้กรอบราคา ก่อนที่จะเข้า Position (แต่ก็อาจทำให้พลาดจุดเข้าที่ดีที่สุดไปบ้าง)
- ดูปริมาณการซื้อขาย: การ Breakout ที่แท้จริงมักจะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น
- หลีกเลี่ยงช่วงที่ตลาดผันผวนสูง: หาก Tokyo Session มีความผันผวนผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการเทรด
กลยุทธ์ London Breakout ให้ผลตอบแทนกี่ Pip ต่อวัน?
ตามข้อมูลเบื้องต้น กลยุทธ์นี้สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 30-50 pips ต่อวันจากคู่สกุลเงินหลัก อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด การบริหารความเสี่ยง และทักษะส่วนบุคคลของเทรดเดอร์ การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญกว่าการไล่ล่า Pips จำนวนมากในแต่ละวัน
สรุป
กลยุทธ์ London Breakout เป็นหนึ่งในระบบการเทรด Forex ระหว่างวันที่ทรงพลังและมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรได้อย่างดีเยี่ยม หากคุณสามารถระบุช่วงราคา Tokyo Session ได้อย่างแม่นยำ ตั้งค่า Pending Orders, Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างมีวินัย และที่สำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด การทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนผ่านจาก Tokyo สู่ London Session คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้เสมอว่าไม่มีกลยุทธ์ใดที่สมบูรณ์แบบ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอใน บัญชีทดลอง และการปรับปรุงทักษะการเทรดอย่างต่อเนื่อง จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว
สำหรับพี่ๆ ที่สนใจยกระดับการเทรดด้วย ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) และต้องการเข้าร่วมกลุ่มผู้ใช้งาน EA ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและรับ EA ฟรีได้ตลอดชีพ
