TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว ” แต่ไม่กลับตัว”

มิถุนายน 15, 2022

ถอดรหัสรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว: 7 ปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงเทรนด์

การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม แท่งเทียนที่ดูเหมือนจะบ่งชี้การกลับตัวนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะกลับตัวได้จริงเสมอไป การทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสัญญาณกลับตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะเจาะลึก 7 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณประเมินสัญญาณแท่งเทียนกลับตัวได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจซื้อขาย

ความสำคัญของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวใน Timeframe ขนาดใหญ่ (TF ใหญ่)

รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Timeframe (TF) ขนาดใหญ่ เช่น กราฟรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) จะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าเมื่อเทียบกับ TF ขนาดเล็กอย่างกราฟราย 15 นาที หรือรายชั่วโมง

ทำไม TF ใหญ่จึงมีอิทธิพลมากกว่า?

  • มุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่: TF ขนาดใหญ่สะท้อนถึงมุมมองและการตัดสินใจของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งมีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่านักลงทุนรายย่อย
  • ลดสัญญาณรบกวน (Noise): ใน TF เล็กๆ ราคาอาจเคลื่อนไหวผันผวนจากปัจจัยระยะสั้น ทำให้เกิดสัญญาณกลับตัวหลอก (False Signals) ได้ง่าย แต่ใน TF ใหญ่ สัญญาณที่เกิดขึ้นมักจะแข็งแกร่งและเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิคที่สำคัญกว่า
  • ความคงทนของแนวโน้ม: การกลับตัวใน TF ใหญ่ บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะยาว ซึ่งเป็นโอกาสในการทำกำไรที่สำคัญและมีความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดตามสัญญาณกลับตัวระยะสั้น

ตัวอย่าง: หากคุณเห็นรูปแบบ Hammer Candlestick บนกราฟรายวัน หลังจากที่ราคาวิ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง นั่นมีแนวโน้มที่จะเป็นสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งกว่าการเห็นรูปแบบ Hammer เดียวกันบนกราฟ 5 นาที

การยืนยันการกลับตัวด้วยแนวรับ-แนวต้าน

แนวรับและแนวต้านคือระดับราคาที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งราคาเคยมีปฏิกิริยาตอบสนองในอดีต การที่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นที่บริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง จะเพิ่มโอกาสในการกลับตัวของราคาได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทำไมแนวรับ-แนวต้านจึงสำคัญ?

  • จุดตัดสินใจของนักลงทุน: แนวรับและแนวต้านมักเป็นจุดที่นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจเข้าซื้อหรือขาย ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายที่มากพอที่จะทำให้ราคาเกิดการกลับตัวได้จริง
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ: สัญญาณกลับตัวที่เกิดขึ้นโดดๆ อาจไม่แข็งแกร่งเท่ากับการที่มันปรากฏขึ้น ณ จุดที่มีนัยสำคัญทางเทคนิค การรวมการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนเข้ากับแนวรับ-แนวต้าน จะช่วยยืนยันความถูกต้องของสัญญาณ
  • ลดความเสี่ยง: การเข้าเทรดเมื่อมีสัญญาณกลับตัวที่แนวรับ (สำหรับ Buy) หรือแนวต้าน (สำหรับ Sell) มักจะสามารถกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ได้อย่างชัดเจน ทำให้บริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับ: หากราคาเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar ที่บริเวณแนวรับสำคัญที่ราคาเคยดีดกลับหลายครั้งในอดีต นี่คือสัญญาณที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

บทบาทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA)

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential Moving Average (EMA) โดยเฉพาะ EMA 5 วัน เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยยืนยันสัญญาณการกลับตัวของแท่งเทียนได้ โดยเฉพาะเมื่อราคามีการเคลื่อนที่ออกห่างจากเส้น EMA มากๆ

ทำไมการห่างจาก EMA จึงเป็นสัญญาณ?

  • ความสมดุลของราคา: โดยปกติแล้ว ราคาจะเคลื่อนที่ใกล้กับเส้น EMA หากราคาวิ่งห่างจากเส้น EMA มากเกินไป บ่งบอกว่าราคาอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งมักจะเกิดแรงดึงดูดให้ราคากลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย
  • แรงเทขายหรือแรงซื้อ: การที่ราคาวิ่งขึ้นไปเหนือ EMA 5 วันมากๆ อาจบ่งบอกถึงแรงซื้อที่มากเกินไปและพร้อมที่จะเกิดแรงเทขายทำกำไรกลับลงมา ในทางกลับกัน หากราคาวิ่งลงต่ำกว่า EMA 5 วันมากๆ อาจบ่งบอกถึงแรงขายที่มากเกินไปและพร้อมที่จะเกิดแรงซื้อกลับเข้ามา
  • โอกาสในการกลับตัวสูง: เมื่อรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นในขณะที่ราคาอยู่ห่างจากเส้น EMA 5 วันอย่างมีนัยสำคัญ โอกาสที่ราคาจะกลับตัวเพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลจึงสูงขึ้น

ตัวอย่าง: หากราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงและแท่งเทียนปัจจุบันอยู่เหนือ EMA 5 วันไปมาก และเกิดรูปแบบ Evening Star ขึ้น นั่นเป็นสัญญาณที่น่าสนใจว่าราคาอาจจะกลับตัวลง

การยืนยันด้วยสัญญาณ Divergence

Divergence เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอของแนวโน้มปัจจุบัน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคากับอินดิเคเตอร์ (เช่น RSI, MACD) เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ขัดแย้งกัน

Divergence คืออะไรและสำคัญอย่างไร?

  • Divergence ปกติ (Regular Divergence):
    • Bullish Divergence: ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Low) แต่อินดิเคเตอร์ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Low) บ่งบอกถึงแรงขายที่อ่อนแอลง เป็นสัญญาณการกลับตัวขึ้น
    • Bearish Divergence: ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher High) แต่อินดิเคเตอร์ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower High) บ่งบอกถึงแรงซื้อที่อ่อนแอลง เป็นสัญญาณการกลับตัวลง
  • ยืนยันการกลับตัว: เมื่อรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นพร้อมกับสัญญาณ Divergence ใน TF ใหญ่ และกระทำกับแนวรับ-แนวต้าน นั่นจะเพิ่มโอกาสที่ราคาจะกลับตัวได้จริงอย่างมหาศาล

กฎ: การค้นหา Divergence ควรพิจารณาใน TF ใหญ่ เพื่อให้ได้สัญญาณที่มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น หากราคา Bitcoin ทำ Higher High บนกราฟรายวัน แต่ RSI กลับทำ Lower High พร้อมกับเกิด Doji Candlestick ที่จุดสูงสุด นั่นคือสัญญาณ Bearish Divergence ที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

การพิจารณาปลายคลื่น Elliott Wave

ทฤษฎี Elliott Wave เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง ซึ่งระบุว่าตลาดมีการเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบคลื่น การที่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นที่ปลายคลื่นลูกสุดท้าย (โดยเฉพาะคลื่น 5 หรือคลื่น C ของ Correction) จะเพิ่มความน่าจะเป็นที่ราคาจะกลับตัว

Elliott Wave บอกอะไรเกี่ยวกับการกลับตัว?

  • โครงสร้างตลาด: Elliott Wave ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างของแนวโน้มตลาด ว่าอยู่ในช่วงใดของวัฏจักร
  • จุดสิ้นสุดของแนวโน้ม: การปรากฏของรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่ปลายคลื่น 5 (ในคลื่นขาขึ้น) หรือคลื่น C (ในคลื่นขาลง) บ่งบอกว่าแรงขับเคลื่อนของแนวโน้มเดิมกำลังจะหมดลง และตลาดพร้อมที่จะกลับตัว
  • การทำงานร่วมกับปัจจัยอื่น: หากปลายคลื่น Elliott Wave เกิดขึ้นพร้อมกับแนวรับ-แนวต้าน สัญญาณ Divergence และแท่งเทียนกลับตัวใน TF ใหญ่ ความน่าเชื่อถือของสัญญาณกลับตัวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ตัวอย่าง: หากคุณวิเคราะห์พบว่าราคาอยู่ในช่วงปลายคลื่น 5 ของ Elliott Wave ในกราฟ 4 ชั่วโมง และเกิดรูปแบบ Engulfing Candlestick พร้อมกับ Bearish Divergence นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าการปรับฐานใหญ่กำลังจะมาถึง

การเข้าถึง Target Fibonacci Retracement

ระดับ Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อราคาเคลื่อนที่ถึง Target Fibonacci ที่สำคัญ ซึ่งมักจะเป็นจุดที่ราคาอาจเกิดการกลับตัว

Target Fibonacci สำคัญอย่างไรต่อการกลับตัว?

  • จุดพักตัวและกลับตัว: ระดับ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, 61.8% มักเป็นจุดที่ราคาเกิดการพักตัวหรือกลับตัว เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับเหล่านี้ในคลื่น 5 ของ Elliott Wave หรือหลังจากแนวโน้มที่ยาวนาน การเกิดแท่งเทียนกลับตัวจะมีความสำคัญมากขึ้น
  • การยืนยันความแข็งแกร่ง: การที่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นที่ระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ บ่งบอกถึงการทำงานร่วมกันของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค ทำให้สัญญาณกลับตัวมีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

เคล็ดลับ: การใช้ Fibonacci ร่วมกับการวิเคราะห์ Elliott Wave และรูปแบบแท่งเทียน จะช่วยให้คุณสามารถหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น

Exhaustion Gap: สัญญาณสุดท้ายปลายคลื่น

Exhaustion Gap เป็นช่องว่างราคาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งบอกว่าแรงซื้อหรือแรงขายกำลังจะหมดลง เป็นสัญญาณที่ทรงพลังในการยืนยันการกลับตัว

Exhaustion Gap ทำไมถึงสำคัญ?

  • บ่งบอกถึงปลายคลื่น: Exhaustion Gap มักจะเกิดขึ้นที่ปลายคลื่นลูกสุดท้ายของ Elliott Wave (คลื่น 5 หรือคลื่น C) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง
  • การเชื่อมโยงกับ Divergence: เมื่อเกิด Exhaustion Gap บ่อยครั้งจะมาพร้อมกับสัญญาณ Divergence เนื่องจากแรงผลักดันของราคาที่สร้าง Gap นั้นไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงในอินดิเคเตอร์
  • การยืนยันการกลับตัวที่แข็งแกร่ง: หากรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเกิดขึ้นหลังจากการเกิด Exhaustion Gap ใน TF ใหญ่ และมีปัจจัยอื่นๆ เช่น แนวรับ-แนวต้าน, Divergence เข้ามาสนับสนุน นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการกลับตัวมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก

ตัวอย่าง: ในตลาดขาขึ้น ราคาเปิดกระโดดขึ้นเป็น Gap (Exhaustion Gap) หลังจากนั้นกลับมีการเคลื่อนไหวที่ไม่มีทิศทาง หรือเกิดแท่งเทียน Doji พร้อมกับ Bearish Divergence นั่นหมายถึงแรงซื้อได้หมดลงแล้ว และราคาอาจจะกลับตัวลงอย่างรวดเร็ว

สรุปปัจจัยสำคัญในการพิจารณาสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว

การพิจารณารูปแบบแท่งเทียนกลับตัวเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุนที่มีประสิทธิภาพ การผสมผสานการวิเคราะห์เข้ากับปัจจัยเสริมต่างๆ ดังที่กล่าวมา จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมาก

  1. Timeframe ขนาดใหญ่: ยิ่ง TF ใหญ่ สัญญาณยิ่งน่าเชื่อถือ
  2. แนวรับ-แนวต้าน: การกลับตัวที่แนวรับ-แนวต้านสำคัญเพิ่มความแข็งแกร่งของสัญญาณ
  3. เส้น EMA 5 วัน: การห่างจาก EMA มากๆ บ่งบอกถึงภาวะ Overbought/Oversold
  4. Divergence: สัญญาณเตือนถึงความอ่อนแอของแนวโน้มปัจจุบัน
  5. ปลายคลื่น Elliott Wave: บ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม
  6. Target Fibonacci: ระดับราคาที่มักเกิดการพักตัวหรือกลับตัว
  7. Exhaustion Gap: ช่องว่างราคาที่บ่งบอกถึงแรงผลักดันที่หมดลง

การรวมปัจจัยเหล่านี้เข้าด้วยกันจะสร้างกลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุโอกาสในการกลับตัวของตลาดได้อย่างแม่นยำ และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมั่นใจ

FAQ Section

Q1: สัญญาณแท่งเทียนกลับตัวใน Timeframe เล็กๆ ไม่น่าเชื่อถือจริงหรือ?

A1: โดยทั่วไปแล้ว สัญญาณแท่งเทียนกลับตัวใน Timeframe (TF) เล็กๆ เช่น กราฟ 5 นาที หรือ 15 นาที มักจะมีความน่าเชื่อถือต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ TF ขนาดใหญ่ (เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์) เนื่องจากใน TF เล็กๆ ราคาจะมีการเคลื่อนไหวที่ผันผวนจาก “สัญญาณรบกวน” (Noise) หรือปัจจัยระยะสั้นจำนวนมาก ทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signals) ได้ง่ายกว่ามาก การกลับตัวที่เกิดขึ้นใน TF เล็กๆ มักจะเป็นเพียงการพักตัวระยะสั้นหรือการปรับฐานเล็กน้อยภายในแนวโน้มหลักเท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่แท้จริงในระยะยาว หากต้องการความแม่นยำสูง ควรใช้ TF ใหญ่เป็นหลักในการยืนยันสัญญาณ

Q2: จะทำอย่างไรหากเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว แต่ไม่มี Divergence เกิดขึ้น?

A2: หากคุณเห็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัว แต่ไม่มีสัญญาณ Divergence เกิดขึ้นร่วมด้วย นั่นไม่ได้หมายความว่าสัญญาณนั้นจะไม่ถูกต้องเสมอไป เพียงแต่ความน่าเชื่อถือของสัญญาณอาจจะลดลงเล็กน้อย Divergence เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ใช้ในการยืนยัน การพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เหลือก็ยังคงมีความสำคัญ เช่น การที่แท่งเทียนกลับตัวนั้นเกิดขึ้นที่แนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่งหรือไม่, ราคาอยู่ห่างจากเส้น EMA มากน้อยเพียงใด, หรืออยู่ในช่วงปลายคลื่น Elliott Wave หรือไม่ หากปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้ยังคงสนับสนุนการกลับตัว คุณก็ยังสามารถพิจารณาเข้าเทรดได้ แต่ควรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รอบคอบยิ่งขึ้น

Q3: Exhaustion Gap แตกต่างจาก Gap ประเภทอื่นอย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น Exhaustion Gap?

A3: Exhaustion Gap คือช่องว่างราคาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยเป็นสัญญาณว่าแรงซื้อหรือแรงขายที่ผลักดันแนวโน้มนั้นกำลังจะหมดลงและตลาดพร้อมที่จะกลับตัว ความแตกต่างจาก Gap ประเภทอื่นคือ:

  • Common Gap (ช่องว่างปกติ): เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงที่ตลาดไม่มีทิศทางชัดเจน และมักจะถูกปิด (ราคาเคลื่อนที่กลับมาเติมเต็มช่องว่าง) ในเวลาไม่นาน
  • Breakaway Gap (ช่องว่างเบรกเอาท์): เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ มักจะบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ที่แข็งแกร่ง และมักจะไม่ถูกปิดง่ายๆ
  • Runaway Gap (ช่องว่างต่อเนื่อง): เกิดขึ้นในช่วงกลางของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง บ่งบอกว่าแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป

คุณจะทราบว่าเป็น Exhaustion Gap ได้อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว Exhaustion Gap มักจะเกิดหลังจากแนวโน้มที่ยาวนานและรุนแรง และแท่งเทียนที่เกิด Gap มักจะมีขนาดใหญ่ผิดปกติ มี Volume การซื้อขายที่สูง และหลังจากเกิด Gap ราคาอาจจะเริ่มชะลอตัว, เคลื่อนที่แบบ Sideways หรือเกิดรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวตามมา ซึ่งบ่งบอกถึงความอ่อนแอของแนวโน้มเดิม ยิ่งไปกว่านั้น หาก Exhaustion Gap เกิดขึ้นที่ปลายคลื่น 5 ของ Elliott Wave หรือมีสัญญาณ Divergence ร่วมด้วย จะยิ่งยืนยันความน่าจะเป็นของการเป็น Exhaustion Gap ได้ดียิ่งขึ้น

Q4: สามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเทรดได้หรือไม่?

A4: ไม่ควรอย่างยิ่ง การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว เช่น การพึ่งพาแค่รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนได้ง่าย เนื่องจากตลาดมีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมักจะใช้ “การยืนยันหลายปัจจัย” (Confluence) ซึ่งหมายถึงการรวบรวมสัญญาณจากเครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์หลายอย่างเข้าด้วยกัน เช่น รูปแบบแท่งเทียน, แนวรับ-แนวต้าน, อินดิเคเตอร์ (EMA, RSI, MACD), ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave, และปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย การที่สัญญาณต่างๆ ชี้ไปในทิศทางเดียวกันจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก

Q5: ควรใช้ EMA 5 วันเท่านั้นในการวิเคราะห์หรือไม่?

A5: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential Moving Average (EMA) 5 วันเป็นเพียงหนึ่งในหลายเครื่องมือที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและ Timeframe ที่คุณใช้ เทรดเดอร์บางคนอาจชอบใช้ EMA ที่มีค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น เช่น EMA 20, EMA 50, EMA 100 หรือ EMA 200 เพื่อดูแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาว

  • EMA 5/10/20: เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น (Scalping, Day Trading) เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว
  • EMA 50/100: เหมาะสำหรับการเทรดระยะกลาง (Swing Trading) เพื่อระบุแนวโน้มหลักและจุดพักตัว
  • EMA 200: เป็นแนวโน้มระยะยาวที่สำคัญมาก มักใช้เป็นแนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง

การใช้ EMA หลายเส้นร่วมกัน หรือใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถยืนยันสัญญาณการกลับตัวได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

**ฟรีระบบเทรด**
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
.
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line