TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

เทคนิคการหา trade setup

มกราคม 2, 2022

ปลดล็อกกำไร: สุดยอดเทคนิคการหา Trade Setup จุดซื้อหุ้นที่มีโอกาสชนะสูง

Introduction: ในโลกของการเทรด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ การ “หาจุดเข้าซื้อ” หรือที่เรียกว่า Trade Setup นั้นคือหัวใจสำคัญที่นำไปสู่โอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน หลายคนอาจคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องของการคาดเดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเทรดที่ประสบความสำเร็จนั้นอาศัย ระบบเทรด และกลยุทธ์ที่มีแบบแผนชัดเจน เพื่อค้นหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง ซึ่งหมายถึงจุดเข้าซื้อที่มีความได้เปรียบทางสถิติและปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง บทความนี้จะเจาะลึกถึงแก่นแท้ของเทคนิคการหา Trade Setup ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ โดยเน้นย้ำถึงแนวคิดที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญการอ่านกราฟทุกรูปแบบ ขอเพียงแค่คุณเข้าใจและเชี่ยวชาญเพียงวิธีเดียวอย่างถ่องแท้ ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความแตกต่างในการเทรดของคุณ

Trade Setup คืออะไร: หัวใจสำคัญของการเข้าซื้อหุ้นอย่างมีกลยุทธ์

Trade Setup ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “จุดซื้อ” หรือ “จุดเข้าออเดอร์” ที่มองเห็นบน กราฟราคา เท่านั้น แต่คือ แผนการเทรดที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายประการที่ทำงานร่วมกัน เพื่อระบุสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการเข้าซื้อขายและมีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้สูงอย่างสม่ำเสมอ

Trade Setup ที่ดีควรตอบคำถามเหล่านี้:

  • จะเข้าซื้อเมื่อไหร่ (When to enter)? คือจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
  • จะเข้าซื้อที่ราคาเท่าไหร่ (At what price)? คือระดับราคาที่ให้ความได้เปรียบ
  • จะตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ไหน? คือระดับราคาที่ยอมรับความเสี่ยงได้หากการวิเคราะห์ผิดพลาด
  • จะตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ที่ไหน? คือเป้าหมายราคาที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทน

ทำไม Trade Setup จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง?

  1. ลดความเสี่ยง (Risk Management): การมี Trade Setup ที่ชัดเจนช่วยให้คุณกำหนดจุดตัดขาดทุนได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการปกป้องเงินทุนของคุณ การรู้ว่าคุณจะยอมรับการขาดทุนได้เท่าไหร่ก่อนที่จะเข้าเทรด จะช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่รุนแรงได้
  2. เพิ่มโอกาสทำกำไร (Profit Potential): Trade Setup ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้คุณระบุจังหวะเข้าซื้อที่ราคาอาจมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น
  3. สร้างวินัยในการเทรด (Trading Discipline): การปฏิบัติตาม Trade Setup ที่วางแผนไว้ ช่วยลดการตัดสินใจตามอารมณ์หรือการคาดเดา ทำให้การเทรดเป็นไปอย่างมีระบบและมีวินัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
  4. วัดผลและปรับปรุงได้ (Measurable and Improvable): เมื่อคุณมี Trade Setup ที่เป็นระบบ คุณจะสามารถบันทึกผลการเทรด วิเคราะห์ประสิทธิภาพ และปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ Trade Setup ที่แม่นยำและทำกำไรได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว

กลยุทธ์ Price Action: รากฐานของการค้นหา Trade Setup ที่แม่นยำ

Price Action คือการวิเคราะห์พฤติกรรมราคาจาก กราฟแท่งเทียน โดยตรง โดยไม่ใช้อินดิเคเตอร์ (Indicator) มากมาย การวิเคราะห์ Price Action มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจจิตวิทยาของผู้ซื้อและผู้ขายที่สะท้อนผ่านรูปแบบของแท่งเทียน แนวโน้ม แนวรับ แนวต้าน และรูปแบบกราฟต่างๆ

ทำไม Price Action ถึงเป็นรากฐานที่ดีในการหา Trade Setup?

  • ความบริสุทธิ์ของข้อมูล (Pure Data): Price Action แสดงข้อมูลราคาที่แท้จริง ไม่มีการคำนวณหรือปรับแต่ง ทำให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาและแรงซื้อแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างตรงไปตรงมา
  • ไม่มี Lag (No Lagging): อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่มักจะมีการตอบสนองช้ากว่าราคา (Lagging Indicator) เนื่องจากการคำนวณจากข้อมูลในอดีต แต่ Price Action จะแสดงผลแบบ Real-time ทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น
  • เข้าใจง่ายและทรงพลัง (Simple yet Powerful): แม้จะดูเหมือนง่าย แต่ Price Action สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดได้อย่างมหาศาล และเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดมืออาชีพที่ต้องการความแม่นยำและไม่ต้องการความซับซ้อน

เทคนิคที่ 1: การจำแนกแนวโน้ม (Trend Identification) เพื่อโอกาสทำกำไรสูงสุด

การเข้าใจและจำแนก แนวโน้ม (Trend) ของราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ที่คุณกำลังสนใจ เป็นสิ่งแรกและสำคัญที่สุดในการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง เพราะแนวโน้มจะเป็นตัวกำหนดทิศทางหลักของการเทรด และช่วยให้คุณเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการแยกแนวโน้ม

  • บอกประเภทของ Trade Setup: แนวโน้มจะบอกคุณว่าคุณควรมองหา Trade Setup แบบไหน เช่น ในแนวโน้มขาขึ้น คุณควรจะมองหาจุดซื้อ (Buy Setup) ในขณะที่ในแนวโน้มขาลง คุณควรจะมองหาจุดขาย (Sell Setup) หรือหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อโดยสิ้นเชิง
  • หลีกเลี่ยงการขาดทุนที่ไม่จำเป็น: แม้ว่าเทคนิคการเทรดของคุณจะออกแบบมาเพื่อใช้ในตลาด Sideway (ไร้ทิศทาง) คุณก็ยังจำเป็นต้องแยกแนวโน้มให้ออกก่อน เพราะหากคุณเผลอไปเทรดในช่วงที่ตลาดกำลังอยู่ใน แนวโน้มขาลง อย่างรุนแรง โอกาสในการขาดทุนก็จะสูงขึ้นอย่างมาก แม้จะเป็น Trade Setup ที่ดูดีก็ตาม
  • เพิ่มความแม่นยำของสัญญาณ: การหาจุดซื้อที่มีโอกาสชนะสูงมักเกิดขึ้นใน แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เพราะแรงซื้อในตลาดจะช่วยผลักดันราคาไปในทิศทางที่คุณต้องการ ทำให้ Trade Setup ที่เกิดขึ้นมีความแม่นยำและมีโอกาสทำกำไรมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • กฎทองสำหรับมือใหม่: ห้ามสวนแนวโน้ม: สำหรับ เทรดเดอร์มือใหม่ การพยายามเทรดสวนแนวโน้ม (Counter-trend Trading) เป็นเรื่องที่ยากและมีความเสี่ยงสูงมาก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่า มือใหม่ควรเน้นการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จและลดความเสี่ยงในการขาดทุน

ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำเมื่อเปิดกราฟขึ้นมา คือการมองหาหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น การทำเช่นนี้เพียงอย่างเดียว ก็จะช่วยลดโอกาสในการขาดทุนของคุณได้อย่างมหาศาล

วิธีการระบุแนวโน้มขาขึ้นอย่างง่ายสำหรับมือใหม่

หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับการอ่านแนวโน้ม มีเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที:

  1. มองภาพรวมจากซ้ายไปขวา (Visual Slope):
    • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): หากมองจากซ้ายไปขวา กราฟมีลักษณะ “ชันขึ้น” หรือเคลื่อนที่ขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แรงซื้อมีมากกว่าแรงขายอย่างต่อเนื่อง
    • แนวโน้มขาลง (Downtrend): หากมองจากซ้ายไปขวา กราฟมีลักษณะ “ชันลง” หรือเคลื่อนที่ลงไปเรื่อยๆ แสดงว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง แรงขายมีมากกว่าแรงซื้ออย่างชัดเจน
    • ตลาดไร้ทิศทาง/ไซด์เวย์ (Sideways/Ranging): หากกราฟเคลื่อนที่ออกด้านข้าง ไม่ได้ชันขึ้นหรือลงชัดเจน แสดงว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงสะสมพลัง หรือยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
  2. พิจารณาจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ที่เกิดขึ้นในกราฟ:
    • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ลักษณะสำคัญของแนวโน้มขาขึ้นคือ จุดสูงสุดใหม่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิม (Higher Highs – HH) และจุดต่ำสุดใหม่สูงกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Higher Lows – HL) อย่างต่อเนื่อง รูปแบบนี้บ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของแรงซื้อที่ผลักดันราคาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
    • แนวโน้มขาลง (Downtrend): ในทางกลับกัน แนวโน้มขาลงจะมีลักษณะของ จุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม (Lower Highs – LH) และจุดต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Lower Lows – LL)
    • ตลาดไร้ทิศทาง/ไซด์เวย์ (Sideways): จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ไม่มีการยกสูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ

กราฟแสดงแนวโน้มขาขึ้น

รูปที่ 1: ตัวอย่างการมองหาแนวโน้มขาขึ้นจากลักษณะ Higher Highs และ Higher Lows

กราฟแสดงแนวโน้มขาลงและขาขึ้น

รูปที่ 2: เปรียบเทียบแนวโน้มขาขึ้น (ซ้าย) และแนวโน้มขาลง (ขวา)

เทคนิคที่ 2: การค้นหาแนวรับ (Support Level) จุดเปลี่ยนที่ทรงพลังของราคา

หลังจากที่คุณสามารถจำแนกแนวโน้มของตลาดได้อย่างแม่นยำแล้ว ขั้นตอนถัดไปในการสร้าง Trade Setup ที่มีประสิทธิภาพคือการค้นหา แนวรับ (Support Level) ที่สำคัญบนกราฟ แนวรับจะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่บอกว่า Trade Setup ที่คุณกำลังมองหานั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้น ณ จุดใด และจะเป็นจุดที่สามารถพิจารณาเข้าซื้อได้อย่างมีความมั่นใจ

แนวรับคืออะไรและทำงานอย่างไร

แนวรับ คือ ระดับราคาที่ตลาดหรือผู้คนส่วนใหญ่ในตลาดมีความเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นจุดที่ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ควรจะร่วงลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว ณ จุดนี้เองที่จะมี แรงซื้อเข้ามาพยุงราคา อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงไปต่ำกว่าระดับดังกล่าว แม้ว่าอาจจะมีแรงขายเกิดขึ้นก็ตาม

เปรียบเสมือน “พื้น” ที่รองรับราคาไว้ไม่ให้ตกลงไป การที่ราคาแตะแนวรับและมีการดีดตัวขึ้น มักจะบ่งชี้ถึงความสนใจซื้อที่แข็งแกร่ง ณ ระดับราคานั้นๆ

ทำไม Trade Setup ควรเกิดตรงแนวรับ?

หากคุณต้องการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง Trade Setup นั้นควรจะเกิดขึ้น ณ บริเวณแนวรับ เพราะ:

  • เป็นจุดที่มีความได้เปรียบ (Edge): การเข้าซื้อที่แนวรับในแนวโน้มขาขึ้น เป็นการซื้อในจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวขึ้นสูงกว่าที่จะลงต่อ ทำให้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่ดี
  • เป็นจุดสิ้นสุดการพักฐาน (End of Retracement): ในแนวโน้มขาขึ้น ราคาจะมีการปรับฐาน (Retracement) ลงมาเป็นระยะๆ แนวรับที่แข็งแกร่งมักจะเป็นจุดสิ้นสุดของการปรับฐานเหล่านี้ ก่อนที่ราคาจะกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่
  • ยืนยันแรงซื้อ (Confirmation of Demand): การที่ราคาทดสอบแนวรับและมีการดีดตัวขึ้น เป็นการยืนยันว่ามีแรงซื้อที่เพียงพอที่จะผลักดันราคาขึ้นไปได้อีกครั้ง

หลักการหาแนวรับที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับ เทรดเดอร์ ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการหาแนวรับ มีเทคนิคง่ายๆ และเป็นที่นิยมดังนี้:

  1. การลากเส้นแนวนอนโดยใช้ จุดต่ำสุด (Low) หรือ จุดสูงสุด (High) ในอดีตเป็นแนวรับ:
    • ใช้จุดต่ำสุดเดิม: วิธีที่ง่ายที่สุดคือการมองหา จุดต่ำสุด (Swing Low) ที่สำคัญก่อนหน้า และลากเส้นแนวนอนผ่านจุดนั้น จุดต่ำสุดที่ราคาเคยลงมาแล้วเด้งกลับ มักจะกลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งในอนาคต
    • ใช้จุดสูงสุดเดิม: ในบางกรณีที่ราคา Breakout ทะลุ แนวต้าน (Resistance) ขึ้นไปได้สำเร็จ แนวต้านเดิมที่ถูกทะลุขึ้นไป มักจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นแนวรับในอนาคต (Support becomes Resistance, Resistance becomes Support)
  2. การลากเส้นแนวนอนเชื่อมต่อจุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) ตั้งแต่ 2 จุดขึ้นไป:
    • วิธีนี้เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับมากยิ่งขึ้น โดยการมองหาจุดต่ำสุดหลายๆ จุดที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน และลากเส้นแนวนอนเชื่อมต่อ หากมีจุดต่ำสุดที่ราคาเคยลงมาแตะแล้วเด้งกลับหลายครั้ง แสดงว่าแนวรับนั้นมีความแข็งแกร่งสูง
    • กฎการมองจากขวามาซ้าย: ในการหาแนวรับ ให้เริ่มมองกราฟจากด้านขวา (ราคาปัจจุบัน) ย้อนกลับไปทางซ้าย หากคุณพบจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่สำคัญที่อยู่ก่อนหน้าราคาปัจจุบัน จุดเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้

กราฟแสดงแนวรับ

รูปที่ 3: ตัวอย่างการลากเส้นแนวรับโดยใช้จุดต่ำสุดในอดีต

เทคนิคที่ 3: การยืนยันด้วยสัญญาณซื้อ (Buy Signal Confirmation) เพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรด

หลังจากที่คุณได้ระบุ แนวโน้ม และค้นหา แนวรับ ที่แข็งแกร่งแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายในการประกอบ Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูงคือการรอคอย สัญญาณซื้อ (Buy Signal) ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์หลายคน โดยเฉพาะ มือใหม่ มักเข้าใจผิดคือ การคิดว่าสัญญาณซื้อจากอินดิเคเตอร์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับการเข้าเทรด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การใช้สัญญาณซื้อโดยปราศจากบริบทของแนวโน้มและแนวรับ อาจนำไปสู่การขาดทุนได้ง่าย

ทำไมสัญญาณซื้อต้องมาพร้อมปัจจัยแวดล้อม

จากเทคนิคที่เราได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า เราจะพิจารณาสัญญาณซื้อเป็นสิ่งสุดท้าย นั่นเป็นเพราะว่า ถึงแม้จะมีสัญญาณซื้อเกิดขึ้นจริงจากอินดิเคเตอร์หรือรูปแบบ Price Action แต่หากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น แนวโน้มของตลาด หรือตำแหน่งที่เกิดสัญญาณ ไม่เอื้ออำนวย สัญญาณที่เกิดขึ้นนั้นจะมีโอกาสชนะต่ำมาก หรืออาจเป็นสัญญาณหลอก (False Signal) ที่นำไปสู่การขาดทุนได้

ดังนั้น สัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นบนกราฟจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เข้ามาร่วมพิจารณาด้วย นั่นก็คือ แนวโน้ม (Trend) และ แนวรับ (Support Level)

  • สัญญาณซื้อที่มีโอกาสชนะสูง จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ สัญญาณนั้น เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) และ เกิดขึ้นตรงบริเวณแนวรับพอดี การรวมกันของสามองค์ประกอบนี้ (Uptrend + Support + Buy Signal) จะสร้าง Trade Setup ที่มีความได้เปรียบและโอกาสในการทำกำไรสูงอย่างมีนัยสำคัญ
  • ในทางกลับกัน สัญญาณซื้อที่ไปเกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือ เกิดขึ้นตรงบริเวณแนวต้าน (Resistance) จะมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้คุณขาดทุน หากตัดสินใจเข้าซื้อ ณ จุดนั้น

ประเภทของสัญญาณซื้อยอดนิยม

สัญญาณซื้อมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และเครื่องมือที่เทรดเดอร์แต่ละคนเลือกใช้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่:

  1. สัญญาณซื้อจาก Price Action:
    • Pin Bar (พินบาร์): เป็นรูปแบบ แท่งเทียน ที่มีไส้เทียนยาวออกมาด้านหนึ่ง (มักจะเป็นไส้ล่างสำหรับสัญญาณซื้อ) และมีตัวเทียนขนาดเล็ก บ่งบอกถึงการปฏิเสธราคา ณ ระดับนั้นๆ และแรงซื้อที่กลับเข้ามาผลักดันราคาขึ้น
    • Hammer (แฮมเมอร์): คล้ายกับ Pin Bar แต่มีลักษณะคล้ายค้อน โดยมีตัวเทียนอยู่ด้านบนและมีไส้เทียนยาวอยู่ด้านล่าง บ่งบอกถึงการกลับตัวของราคาจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น
    • Bullish Engulfing (บุลลิช เอ็นกัลฟิง): เป็นรูปแบบแท่งเทียนสองแท่งที่แท่งเทียนขาขึ้น (สีเขียว/ขาว) แท่งที่สองกลืนกินแท่งเทียนขาลง (สีแดง/ดำ) แท่งแรกจนมิด บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งเข้ามาควบคุมตลาด
  2. สัญญาณซื้อจาก Indicator:
    • Stochastic Oscillator (สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์): เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum ที่ใช้วัดความเร็วและแรงของการเคลื่อนไหวราคา สัญญาณซื้อที่พบบ่อยคือเมื่อเส้น %K ตัดขึ้นเหนือเส้น %D และออกจากโซน Oversold (ต่ำกว่า 20) บ่งบอกถึงแรงซื้อที่กลับมา
    • RSI (Relative Strength Index): อินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของราคา สัญญาณซื้ออาจเกิดขึ้นเมื่อ RSI ตัดขึ้นเหนือระดับ 30 (ออกจากโซน Oversold)
    • MACD (Moving Average Convergence Divergence): สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line หรือ MACD Line ตัดขึ้นเหนือเส้นศูนย์

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้สัญญาณซื้อร่วมกับ Trend และแนวรับ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เราจะมาดูตัวอย่าง Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง 2 แบบ คือ แบบที่ใช้กลยุทธ์ Price Action และแบบที่ใช้อินดิเคเตอร์ Stochastic Oscillator

ตัวอย่าง Trade Setup ด้วย Pin Bar

รูปที่ 4: สัญญาณซื้อจาก Price Action (แท่งเทียน Pin Bar/Hammer)

จากรูปที่ 4 จะเห็นว่า สัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นจาก Price Action ซึ่งเป็นแท่งเทียน Pin Bar หรือ Hammer นั้น เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน และที่สำคัญคือ เกิดขึ้นตรงบริเวณแนวรับพอดี การรวมกันของทั้งสามองค์ประกอบนี้ (Uptrend + Support + Pin Bar) ทำให้ Trade Setup นี้มีโอกาสชนะสูงมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า หากเทรดตามเทคนิคการหา Trade Setup นี้ จะให้ผลตอบแทนเป็นกำไร

ตัวอย่าง Trade Setup ด้วย Stochastic Oscillator

รูปที่ 5: สัญญาณซื้อจาก Stochastic Oscillator

จากรูปที่ 5 จะเห็นว่า สัญญาณซื้อจาก Stochastic Oscillator (เส้นสีน้ำเงินตัดขึ้นเหนือเส้นสีแดงจากโซน Oversold) นั้น เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น และที่สำคัญคือ เกิดขึ้นตรงบริเวณแนวรับพอดี เช่นเดียวกัน การรวมกันของสามปัจจัยนี้ (Uptrend + Support + Stochastic Buy Signal) ทำให้ Trade Setup นี้มีโอกาสชนะสูง ซึ่งหากเทรดตามเทคนิคนี้ ก็จะให้ผลตอบแทนเป็นกำไรเช่นกัน

สรุปหลักการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูง

หากคุณต้องการเทคนิคการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูงอย่างสม่ำเสมอ มี 3 สิ่งที่คุณต้องพิจารณาและตรวจสอบทุกครั้งเมื่อเปิด กราฟหุ้น หรือสินทรัพย์ขึ้นมา:

  1. แยกแนวโน้ม (Trend) ให้ออก: สิ่งแรกสุดคือการระบุให้ได้ว่า ณ ขณะนั้นราคาหุ้นหรือสินทรัพย์กำลังอยู่ในแนวโน้มอะไร ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือ Sideways การเทรดตามแนวโน้ม โดยเฉพาะในแนวโน้มขาขึ้น จะช่วยเพิ่มความได้เปรียบและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมาก
  2. หาแนวรับ (Support Level) ให้เจอ: หลังจากรู้แนวโน้มแล้ว ให้มองหาแนวรับที่แข็งแกร่งบนกราฟ แนวรับจะเป็นจุดบ่งชี้ว่า Trade Setup ที่มีคุณภาพและมีโอกาสชนะสูงจะเกิดขึ้นที่ใด นอกจากนี้ แนวรับยังทำหน้าที่เป็นตัวกรองและเพิ่มความแม่นยำให้กับสัญญาณซื้อของคุณอีกด้วย
  3. รอยืนยันด้วยสัญญาณซื้อ (Buy Signal Confirmation): สุดท้าย ให้รอจนกว่าจะเกิดสัญญาณซื้อที่ชัดเจน สัญญาณซื้อของเทรดเดอร์แต่ละคนอาจแตกต่างกันไป เช่น รูปแบบแท่งเทียน Price Action (Pin Bar, Hammer) หรือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ (Stochastic Oscillator, RSI) สิ่งสำคัญคือสัญญาณซื้อนั้นต้องเกิดขึ้น ในแนวโน้มขาขึ้น และตรงบริเวณแนวรับพอดี ดังตัวอย่างที่แสดงไว้ข้างต้น จะเห็นว่าไม่ว่าสัญญาณที่ใช้จะเป็นแบบใด หลักการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูงก็จะยังคงเป็นแบบเดียวกัน

การผสมผสานเทคนิคทั้งสามนี้เข้าด้วยกันอย่างมีวินัย จะช่วยให้คุณสามารถระบุ Trade Setup ที่มีความน่าจะเป็นสูงได้อย่างง่ายดายและแม่นยำยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการหา Trade Setup

Trade Setup คืออะไร?
Trade Setup คือ แผนการเทรดที่สมบูรณ์แบบที่ใช้ในการระบุจุดเข้าซื้อหรือขายหุ้น/สินทรัพย์ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น แนวโน้ม แนวรับ/แนวต้าน และสัญญาณการซื้อ/ขาย เพื่อหาจังหวะที่มีโอกาสทำกำไรสูงและมีการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน
ทำไมต้องแยก Trend ก่อนหา Trade Setup?
การจำแนกแนวโน้ม (Trend) เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เพราะแนวโน้มจะบอกทิศทางหลักของตลาด การเทรดตามแนวโน้ม โดยเฉพาะแนวโน้มขาขึ้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ การสวนแนวโน้มเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง
แนวรับมีบทบาทอย่างไรในการหา Trade Setup?
แนวรับ (Support Level) เป็นระดับราคาที่บ่งชี้ถึงบริเวณที่มีแรงซื้อเข้ามาพยุงราคา การที่ Trade Setup เกิดขึ้นตรงแนวรับในแนวโน้มขาขึ้น บ่งบอกว่าเป็นจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวหรือดีดตัวขึ้นสูง ทำให้เป็นจุดเข้าซื้อที่มีความได้เปรียบและมีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ดี
Indicator เพียงพอหรือไม่ในการหาจุดซื้อ?
ไม่เพียงพอ อินดิเคเตอร์ (Indicator) เป็นเครื่องมือที่ดีในการช่วยยืนยันสัญญาณ แต่ไม่ควรใช้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจเข้าซื้อขาย สัญญาณซื้อจากอินดิเคเตอร์ควรถูกพิจารณาร่วมกับบริบทของแนวโน้มของตลาดและบริเวณแนวรับ/แนวต้าน เพื่อกรองสัญญาณหลอกและเพิ่มความแม่นยำของ Trade Setup
มือใหม่ควรเริ่มต้นหา Trade Setup อย่างไร?
มือใหม่ ควรเริ่มต้นจากการเรียนรู้และเชี่ยวชาญการใช้เทคนิคการหา Trade Setup เพียงวิธีเดียวให้ถ่องแท้ จากนั้นจึงฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอบนบัญชีทดลอง (Demo Account) โดยเน้นย้ำที่ 3 ขั้นตอนหลัก คือ การจำแนกแนวโน้ม การหาแนวรับ และการรอยืนยันสัญญาณซื้อที่สอดคล้องกัน

สรุปและข้อเสนอแนะ: ก้าวสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่มีกำไร

การเทรดให้ได้กำไรอย่างยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นผลมาจากการวางแผนที่ดี การวิเคราะห์ที่มีเหตุผล และวินัยในการปฏิบัติตามแผน การเรียนรู้และประยุกต์ใช้เทคนิคการหา Trade Setup ที่มีโอกาสชนะสูงตามหลักการจำแนกแนวโน้ม การค้นหาแนวรับ และการยืนยันด้วยสัญญาณซื้อ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเทรดและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่จงรู้สิ่งสำคัญให้ลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ขอให้ทุกท่านโชคดีและประสบความสำเร็จในการเทรด มีกำไรในทุกๆ การลงทุน

#แจกฟรี!ระบบเทรด
สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการใช้ EA indicator และเข้ากลุ่ม Line VIP ฟรี
มีเงื่อนไขเพียงเล็กน้อย
.
เพียงสมัครเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ตามลิงค์ด้านล่าง ก็สามารถรับ EA ได้ฟรีทุกตัว และ EA ตัวใหม่ๆอื่นๆได้อีกในอนาคต
XM – คุณภาพอันดับหนึ่งตลอดสิบปีในไทย
.
Mtrading – สเปรดเริ่มต้นที่ 0 pip ค่าคอมต่ำ
.
exness – โบรคเกอร์ที่ฝากและถอนเร็วที่สุด
.
**”เมื่อสมัครเสร็จ ส่งเลข MT4 ไปที่ Line Id- @ft.th เพื่อ
.
ขอรับ EA ได้ฟรี!”**
.
ช่องทางการพูดคุย
.
Line Id :: @ft.th
.
.
กลุ่มพูดคุย :: เทรดฟอเร็กซ์ให้ได้กําไรอย่างยั่งยืน
.
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line