TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
จิตวิทยา การบริหารเงิน

เทคนิคการเทรด Trailing Stop (TS)

มิถุนายน 23, 2022

สุดยอดเทคนิค Trailing Stop (TS) ในการเทรด Forex: เพิ่มกำไรสูงสุด ลดความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด

ในโลกของการเทรด Forex ที่ผันผวน การบริหารจัดการความเสี่ยงและการรักษาผลกำไรเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่เทรดเดอร์มืออาชีพเลือกใช้คือ Trailing Stop (TS) ซึ่งแตกต่างจาก Stop Loss ทั่วไปอย่างไร้รอยต่อ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Trailing Stop ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการใช้งานขั้นสูง เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน

Trailing Stop (TS) คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญกว่า Stop Loss ทั่วไป?

Trailing Stop (TS) คือ กลไกการบริหารความเสี่ยงขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผลกำไรและจำกัดการขาดทุน โดยจะทำงานคล้ายกับ Stop Loss (SL) ทั่วไป แต่มีความยืดหยุ่นและชาญฉลาดกว่ามาก

ความแตกต่างหลักระหว่าง Trailing Stop และ Stop Loss ทั่วไป

  • Stop Loss (SL) ทั่วไป: เป็นการตั้งระดับราคาคงที่ หากราคาวิ่งไปถึงระดับนี้ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ออเดอร์จะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที จุดประสงค์หลักคือการจำกัดการขาดทุน ไม่ได้มุ่งเน้นการรักษาผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น
  • Trailing Stop (TS): คือ Stop Loss ที่สามารถ เคลื่อนไหวได้โดยอัตโนมัติ ตามการเคลื่อนที่ของราคาในทิศทางที่ทำกำไร เมื่อราคาเคลื่อนไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ Trailing Stop จะขยับตามขึ้นไป (สำหรับการซื้อ) หรือขยับตามลงมา (สำหรับการขาย) เพื่อรักษาระดับกำไรที่ได้มา แต่หากราคาวกกลับสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ Trailing Stop จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ณ จุดสูงสุด (หรือต่ำสุด) ที่เคยไปถึง และจะปิดคำสั่งเมื่อราคากลับมาแตะระดับนั้น

กลไกการทำงานของ Trailing Stop

ลองจินตนาการว่าคุณได้เปิดคำสั่งซื้อ (BUY) ในคู่สกุลเงินหนึ่ง และตั้งค่า Trailing Stop ไว้ที่ 30 pip เมื่อราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามที่คุณคาดการณ์ Trailing Stop จะไม่หยุดอยู่กับที่เหมือน Stop Loss ทั่วไป แต่จะขยับตามราคาขึ้นไปเรื่อยๆ โดยรักษาระยะห่าง 30 pip จากราคาสูงสุดที่เคยทำได้

  • เมื่อราคาขึ้น: Trailing Stop จะปรับระดับสูงขึ้นตาม ทำให้คุณสามารถล็อกกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆ
  • เมื่อราคาลง (สวนทาง): Trailing Stop จะหยุดนิ่ง ณ ระดับสูงสุดที่เคยไปถึง และหากราคาลงมาแตะระดับ Trailing Stop นี้ คำสั่งซื้อของคุณจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณยังคงรักษากำไรส่วนใหญ่ที่ได้มา

สิ่งที่น่าสนใจคือ การใช้ Trailing Stop มักจะไม่มีการตั้งระดับทำกำไร (Take Profit: TP) ที่เฉพาะเจาะจง เพราะ Trailing Stop มีเป้าหมายที่จะรันกำไรไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เทรนด์ยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งเทรนด์แข็งแกร่งและต่อเนื่องเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถทำกำไรได้มากเท่านั้น จนกว่าเทรนด์จะพลิกกลับและราคากลับมาแตะ Trailing Stop ที่ถูกปรับขึ้นมา ออเดอร์ก็จะถูกปิดไปพร้อมกับผลกำไรที่ถูกล็อคไว้

ตัวอย่าง Trailing Stop สำหรับคำสั่งซื้อ

ในทำนองเดียวกัน หากคุณเปิดคำสั่งขาย (SELL) และราคาลดลงตามที่คุณคาดการณ์ Trailing Stop ก็จะขยับตามลงมาเพื่อล็อกกำไร แต่เมื่อราคากลับตัวสูงขึ้นและแตะ Trailing Stop คำสั่งขายก็จะถูกปิดลง

ตัวอย่าง Trailing Stop สำหรับคำสั่งขาย

โดยสรุป Trailing Stop ช่วยให้คุณสามารถ “วิ่งตาม” เทรนด์เพื่อทำกำไรให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็มี “ตาข่ายนิรภัย” คอยปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว หาก เทรนด์ เกิดการพลิกกลับอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ เทรดเดอร์ ทุกคนควรพิจารณาในการบริหารจัดการการซื้อขาย

เทคนิคการใช้งาน Trailing Stop: Active vs. Automatic

การใช้งาน Trailing Stop ในการซื้อขาย Forex สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การใช้งานแบบ Active (ตั้งค่าด้วยตนเอง) และแบบ Automatic (อัตโนมัติ) ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสีย รวมถึงความเหมาะสมกับสไตล์การเทรดที่แตกต่างกันไป

1. Active Trailing Stop: การปรับ Stop Loss ด้วยตนเองอย่างมีกลยุทธ์

Active Trailing Stop คือการที่เทรดเดอร์ทำการปรับระดับ Stop Loss ด้วยตนเอง เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ การทำเช่นนี้ต้องอาศัยการเฝ้าระวังตลาดและการตัดสินใจอย่างมีวินัย แต่ก็ให้ความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ข้อดีของ Active Trailing Stop:

  • ความยืดหยุ่นสูง: คุณสามารถกำหนดระยะห่างของ Trailing Stop ได้ตามความเหมาะสมกับความผันผวนของตลาดในขณะนั้น หรือปรับเปลี่ยนตามรูปแบบราคา (Price Action) ที่เกิดขึ้น
  • การตอบสนองต่อตลาด: สามารถปรับเปลี่ยน Stop Loss ได้ทันทีเมื่อมีข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด
  • ควบคุมได้เต็มที่: เทรดเดอร์มีความควบคุมเหนือระดับ Stop Loss อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถใช้ดุลยพินิจและประสบการณ์ในการตัดสินใจ

ข้อเสียของ Active Trailing Stop:

  • ต้องใช้เวลาและสมาธิ: การเฝ้าระวังและปรับ Trailing Stop ด้วยตนเองนั้นต้องใช้เวลาและความใส่ใจอย่างมาก เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาอยู่หน้าจอ
  • ความเหนื่อยล้าทางจิตใจ: การตัดสินใจอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและข้อผิดพลาดได้
  • ความเสี่ยงจากอารมณ์: อารมณ์อาจเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจ ซึ่งอาจทำให้ปรับ Stop Loss ไม่เหมาะสม

เทคนิคการใช้ Active Trailing Stop ที่นิยม:

1. ใช้ตัวบ่งชี้ Supertrend

ตัวบ่งชี้ Supertrend เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Swing Traders ที่เน้นการถือคำสั่งในระยะยาว เนื่องจาก Supertrend เป็นตัวบ่งชี้ที่ช่วยในการระบุแนวโน้มตลาดได้อย่างชัดเจน

การใช้ Supertrend Indicator สำหรับ Trailing Stop

วิธีการใช้งานร่วมกับ Trailing Stop:

เมื่อคุณเปิดคำสั่งซื้อหรือขาย Trailing Stop จะถูกวางให้อยู่ในแนวเดียวกับเส้นของตัวบ่งชี้ Supertrend

  • สำหรับคำสั่งซื้อ (BUY): เมื่อ Supertrend เปลี่ยนเป็นสีเขียว (แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น) คุณจะเปิดคำสั่งซื้อ และ Trailing Stop จะถูกวางไว้ใต้เส้น Supertrend โดยจะขยับตามขึ้นไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เทรนด์ยังคงเป็นขาขึ้น
  • สำหรับคำสั่งขาย (SELL): เมื่อ Supertrend เปลี่ยนเป็นสีแดง (แสดงถึงแนวโน้มขาลง) คุณจะเปิดคำสั่งขาย และ Trailing Stop จะถูกวางไว้เหนือเส้น Supertrend โดยจะขยับตามลงไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เทรนด์ยังคงเป็นขาลง

เมื่อใดที่คำสั่งจะปิด?

คำสั่งจะถูกปิดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาวกกลับและแตะเส้นตัวบ่งชี้ Supertrend ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง การใช้ Supertrend ร่วมกับ Trailing Stop ช่วยให้คุณสามารถรันกำไรได้สูงสุดตามแนวโน้มที่แข็งแกร่ง และจำกัดการขาดทุนเมื่อเทรนด์เริ่มอ่อนแรง

2. ใช้แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)

การใช้ แนวรับและแนวต้าน เป็นเทคนิคพื้นฐานที่สำคัญในการเทรด Trailing Stop สามารถปรับตามระดับเหล่านี้ได้

  • สำหรับเทรนด์ขาขึ้น (BUY): เมื่อราคาทะลุแนวต้านที่สำคัญขึ้นไปได้ แนวต้านเดิมจะกลายเป็นแนวรับใหม่ คุณสามารถเลื่อน Trailing Stop ขึ้นมาวางไว้ใต้แนวรับใหม่นี้ เพื่อล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้น
  • สำหรับเทรนด์ขาลง (SELL): เมื่อราคาทะลุแนวรับที่สำคัญลงไปได้ แนวรับเดิมจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ คุณสามารถเลื่อน Trailing Stop ลงมาวางไว้เหนือแนวต้านใหม่นี้ เพื่อล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้น

ทำไมต้องใช้แนวรับ-แนวต้าน? ระดับแนวรับและแนวต้านมักจะเป็นจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวสูง การวาง Trailing Stop ไว้ที่ระดับเหล่านี้จะช่วยให้คุณออกจากตลาดได้ทันท่วงทีหากเทรนด์เปลี่ยนทิศทางจริงๆ

3. ใช้โครงสร้างตลาด (Market Structure)

เทคนิคนี้เน้นการวิเคราะห์ Higher Highs (HH) และ Lower Lows (LL) ใน กราฟราคา

  • สำหรับเทรนด์ขาขึ้น (BUY): เมื่อราคาทำ Higher High และ Higher Low อย่างต่อเนื่อง คุณสามารถเลื่อน Trailing Stop ขึ้นมาวางไว้ใต้ Higher Low ล่าสุด
  • สำหรับเทรนด์ขาลง (SELL): เมื่อราคาทำ Lower Low และ Lower High อย่างต่อเนื่อง คุณสามารถเลื่อน Trailing Stop ลงมาวางไว้เหนือ Lower High ล่าสุด

หลักการคือ: ตราบใดที่โครงสร้างตลาดยังคงสมบูรณ์ (เช่น ในเทรนด์ขาขึ้น ราคาไม่ทำ Lower Low ใหม่) Trailing Stop ก็จะยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดจะเป็นสัญญาณให้ปิดออเดอร์

2. Automatic Trailing Stop: การตั้งค่า Trailing Stop แบบอัตโนมัติ

Automatic Trailing Stop คือการตั้งค่าให้ระบบการซื้อขาย (เช่น บนแพลตฟอร์ม MT4/MT5) ปรับระดับ Trailing Stop ให้เองโดยอัตโนมัติ ตามเงื่อนไขที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า วิธีนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดเวลา หรือต้องการลดอารมณ์ในการตัดสินใจ

ข้อดีของ Automatic Trailing Stop:

  • สะดวกสบาย: ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอและปรับ Stop Loss ด้วยตนเอง
  • ลดอารมณ์: การตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของกฎที่ตั้งไว้ล่วงหน้า ลดอิทธิพลของอารมณ์
  • ป้องกันความผิดพลาด: ลดโอกาสในการเกิด Human Error จากการปรับ Stop Loss ผิดพลาด
  • ใช้งานได้หลากหลาย: สามารถตั้งค่าใน Expert Advisor (EA) หรือ Script เพื่อให้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ข้อเสียของ Automatic Trailing Stop:

  • ความยืดหยุ่นน้อยกว่า: การตั้งค่าล่วงหน้าอาจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตลาดที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดีเท่า Active Trailing Stop
  • อาจถูก Stop Out บ่อย: หากตั้งค่าระยะห่างของ Trailing Stop แคบเกินไป อาจถูกปิดออเดอร์ได้ง่ายจากการผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อย
  • ต้องเข้าใจการตั้งค่า: จำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการตั้งค่า Trailing Stop ในแพลตฟอร์มหรือ EA อย่างละเอียด

วิธีการตั้งค่า Automatic Trailing Stop ในแพลตฟอร์ม (เช่น MT4/MT5):

  1. เปิดคำสั่งซื้อขาย (Buy หรือ Sell)
  2. คลิกขวาที่เส้นของคำสั่งซื้อขายที่คุณเปิด
  3. เลือก “Trailing Stop”
  4. เลือกขนาดของ Trailing Stop ที่ต้องการ (เช่น 15, 20, 30 pips หรือกำหนดเอง)

ข้อควรระวัง: Automatic Trailing Stop จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อแพลตฟอร์มการซื้อขายของคุณ (MT4/MT5) เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์อยู่ตลอดเวลา หากปิดแพลตฟอร์ม Trailing Stop จะหยุดทำงาน และจะกลายเป็น Stop Loss แบบคงที่ ณ จุดสุดท้ายที่ถูกปรับไป อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์บางรายหรือ VPS (Virtual Private Server) สามารถช่วยให้ Trailing Stop ทำงานได้ต่อเนื่องแม้คุณจะปิดโปรแกรมไปแล้ว

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ Active Trailing Stop หรือ Automatic Trailing Stop สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจหลักการทำงาน การฝึกฝน และการปรับใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์และสไตล์การเทรดของคุณเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการซื้อขายและทำกำไรในตลาด Forex

เคล็ดลับและกฎเหล็กในการใช้ Trailing Stop อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ Trailing Stop อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่การตั้งค่าแล้วปล่อยไป แต่ต้องมีหลักการและเคล็ดลับที่สำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรและลดความเสี่ยง

1. กำหนดระยะห่างของ Trailing Stop ให้เหมาะสม

นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการใช้ Trailing Stop การกำหนดระยะห่างที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย:

  • ความผันผวนของคู่สกุลเงิน:
    • คู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูง (เช่น XAUUSD, GBPJPY): ควรตั้ง Trailing Stop ให้มีระยะห่างที่กว้างขึ้น เพื่อป้องกันการถูก Stop Out จากการสวิงของราคาเพียงเล็กน้อย เช่น 50-100 pips หรือมากกว่า
    • คู่สกุลเงินที่มีความผันผวนต่ำ (เช่น EURUSD, USDCHF): สามารถตั้ง Trailing Stop ที่ระยะห่างแคบลงได้ เช่น 20-40 pips
  • Timeframe ที่ใช้เทรด:
    • Timeframe สั้น (เช่น M5, M15): การผันผวนของราคาจะถี่กว่า ควรใช้ Trailing Stop ที่แคบกว่า แต่ก็เสี่ยงต่อการถูก Stop Out บ่อยครั้ง หากไม่มีการปรับแต่งให้ดี
    • Timeframe ยาว (เช่น H4, Daily): การผันผวนจะน้อยลงในแต่ละแท่งเทียน สามารถใช้ Trailing Stop ที่กว้างขึ้นได้ เพื่อให้โอกาสราคาวิ่งทำกำไรได้นานขึ้น
  • สไตล์การเทรด:
    • Scalping/Day Trading: อาจใช้ Trailing Stop ที่แคบมาก เพื่อล็อกกำไรเล็กน้อยในแต่ละครั้ง
    • Swing Trading/Position Trading: ควรใช้ Trailing Stop ที่กว้างขึ้น เพื่อให้ราคาได้ “หายใจ” และวิ่งไปตามเทรนด์ระยะยาว

กฎสำคัญ: ไม่ควรตั้ง Trailing Stop แคบเกินไปจนถูก Stop Out ง่ายๆ และไม่ควรกว้างเกินไปจนกินกำไรที่ควรจะได้ไปมาก ควรทดลองและหาจุดที่เหมาะสมกับคู่เงินและกลยุทธ์ของคุณ

2. รอให้ตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ถูกต้องก่อนตั้ง Trailing Stop

หลายครั้งที่เทรดเดอร์มือใหม่มักจะรีบร้อนตั้ง Trailing Stop ทันทีที่เปิดออเดอร์ ซึ่งอาจทำให้ถูก Stop Out ได้ง่ายๆ หากราคาเกิดการสวิงกลับในระยะสั้นๆ

เคล็ดลับ: ควรรอให้ราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ทำกำไรได้ระยะหนึ่งก่อน (เช่น ได้กำไร 20-30 pips หรือมากกว่า) จากนั้นจึงค่อยตั้ง Trailing Stop โดยอาจเริ่มจากจุด Break Even (จุดคุ้มทุน) หรือเหนือจุดเข้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันการขาดทุน และหลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขยับตามไป

3. ใช้ Trailing Stop ร่วมกับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอื่นๆ

Trailing Stop เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ควรใช้ร่วมกับ กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง อื่นๆ เพื่อให้พอร์ตของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

  • การกำหนดขนาด Lot Size: คำนวณ Lot Size ให้เหมาะสมกับขนาดบัญชีและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
  • การกำหนดความเสี่ยงต่อการเทรด: ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
  • การทำความเข้าใจกับ Drawdown: เข้าใจว่า Trailing Stop ช่วยลด Drawdown ได้ แต่ก็ไม่ได้กำจัดความเสี่ยงทั้งหมด

4. พิจารณาใช้ Trailing Stop ในสถานการณ์ที่เหมาะสม

Trailing Stop เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ:

  • ตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน: ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง Trailing Stop จะช่วยให้คุณรันกำไรได้สูงสุด
  • Swing Trading หรือ Position Trading: การถือออเดอร์ระยะยาวจะได้รับประโยชน์จาก Trailing Stop มากกว่าการเทรดสั้นแบบ Scalping

ไม่เหมาะกับ:

  • ตลาด Sideways หรือตลาดที่ไม่มีเทรนด์: ในตลาดลักษณะนี้ ราคาจะเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ และมีการสวิงบ่อยครั้ง Trailing Stop อาจถูก Trigger ได้ง่ายและทำให้คุณพลาดโอกาส
  • การเทรดข่าว (News Trading): ช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญตลาดมักจะมีความผันผวนรุนแรง การตั้ง Trailing Stop อาจถูก Stop Out ทันทีจากการสไปค์ของราคาเพียงช่วงสั้นๆ

5. ทบทวนและปรับแต่ง Trailing Stop อย่างสม่ำเสมอ

ตลาด Forex ไม่เคยหยุดนิ่ง ความผันผวนและรูปแบบเทรนด์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้น การทบทวนและปรับแต่งวิธีการใช้ Trailing Stop ของคุณจึงเป็นสิ่งจำเป็น

  • บันทึกการเทรด: จดบันทึกผลการเทรดของคุณ รวมถึงการตั้งค่า Trailing Stop ที่ใช้ในแต่ละครั้ง เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรได้ผลและอะไรไม่ได้ผล
  • Backtesting: ทดสอบกลยุทธ์ Trailing Stop ของคุณกับข้อมูลย้อนหลัง เพื่อดูประสิทธิภาพในสถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน
  • ทดลองกับบัญชี Demo: ก่อนนำไปใช้กับบัญชีจริง ควรทดลองกับบัญชี Demo เพื่อสร้างความคุ้นเคยและปรับปรุงเทคนิค

การเข้าใจและประยุกต์ใช้เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้ Trailing Stop ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Trailing Stop

Q1: Trailing Stop แตกต่างจาก Stop Loss ธรรมดาอย่างไร?

A1: ความแตกต่างที่สำคัญคือ Trailing Stop จะเคลื่อนที่ตามราคาเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ทำกำไร แต่ Stop Loss ธรรมดาจะอยู่กับที่ ณ จุดที่คุณตั้งไว้ตั้งแต่แรก ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดออเดอร์ Buy และราคาขึ้น Trailing Stop จะขยับขึ้นตามเพื่อล็อกกำไรที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็น Stop Loss ธรรมดา มันจะยังคงอยู่ที่เดิมไม่ว่าราคาจะขึ้นไปเท่าไรก็ตาม Trailing Stop จึงช่วยให้คุณรันกำไรได้สูงสุดและปกป้องกำไรที่ได้มาแล้ว ในขณะที่ Stop Loss ธรรมดาเน้นการจำกัดการขาดทุนเท่านั้น

Q2: ควรตั้งค่า Trailing Stop กี่ pips ถึงจะเหมาะสม?

A2: ไม่มีตัวเลขตายตัวที่เหมาะสมสำหรับทุกสถานการณ์ การตั้งค่า Trailing Stop ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย:

  • ความผันผวนของคู่สกุลเงิน: คู่ที่มีความผันผวนสูง (เช่น ทองคำ, GBPJPY) ควรตั้งระยะห่างกว้างกว่าคู่ที่ผันผวนน้อย (เช่น EURUSD)
  • Timeframe ที่ใช้เทรด: Timeframe สั้นๆ (M5, M15) อาจใช้ระยะห่างที่แคบลง แต่เสี่ยงต่อการถูก Stop Out บ่อย ส่วน Timeframe ยาว (H4, Daily) ควรใช้ระยะห่างที่กว้างขึ้น
  • กลยุทธ์การเทรด: Scalper อาจใช้ระยะห่างน้อยกว่า Swing Trader
  • Average True Range (ATR): อินดิเคเตอร์ ATR สามารถช่วยประเมินความผันผวนเฉลี่ยของราคา เพื่อใช้ในการกำหนดระยะห่างของ Trailing Stop ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

โดยทั่วไป เทรดเดอร์มักจะเริ่มต้นที่ 15-50 pips และปรับเปลี่ยนตามการสังเกตการณ์ตลาด ควรทดลองกับบัญชี Demo ก่อนเพื่อหาระยะที่เหมาะสมกับสไตล์ของคุณ

Q3: Trailing Stop ทำงานตลอดเวลาหรือไม่ แม้ปิดโปรแกรมเทรดไปแล้ว?

A3: โดยส่วนใหญ่แล้ว Trailing Stop ที่ตั้งค่าในแพลตฟอร์ม MT4/MT5 จะทำงานก็ต่อเมื่อแพลตฟอร์มนั้นกำลังทำงานและเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์อยู่ หากคุณปิดโปรแกรมเทรด Trailing Stop จะหยุดทำงานและคงค้างอยู่ในระดับสุดท้ายที่ถูกปรับไปก่อนหน้านั้น กลายเป็น Stop Loss แบบธรรมดา หากต้องการให้ Trailing Stop ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง คุณอาจต้องใช้บริการ VPS (Virtual Private Server) เพื่อให้แพลตฟอร์มเทรดของคุณทำงานอยู่ตลอดเวลา หรือใช้ Expert Advisor (EA) ที่มีฟังก์ชัน Trailing Stop ในตัวที่ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ หรือใช้ฟังก์ชัน Trailing Stop ที่โบรกเกอร์บางรายอาจมีให้เป็นพิเศษ

Q4: Trailing Stop เหมาะกับการเทรดแบบไหน?

A4: Trailing Stop เหมาะอย่างยิ่งกับการเทรดใน ตลาดที่มีแนวโน้ม (Trending Market) ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง เพราะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถรันกำไรตามเทรนด์ได้สูงสุด และป้องกันกำไรเมื่อเทรนด์เริ่มอ่อนแรงหรือกลับตัว จึงเหมาะสำหรับ:

  • Swing Trading: การถือออเดอร์ตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์
  • Position Trading: การถือออเดอร์ระยะยาวหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

อย่างไรก็ตาม Trailing Stop อาจไม่เหมาะกับ ตลาด Sideways หรือ Range-Bound Market ที่ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ และมีการสวิงขึ้นลงบ่อยครั้ง เพราะอาจถูก Trigger และปิดออเดอร์ได้ง่ายเกินไป

Q5: มีความเสี่ยงอะไรบ้างในการใช้ Trailing Stop?

A5: แม้จะมีประโยชน์ แต่ Trailing Stop ก็มีความเสี่ยงที่ควรทราบ:

  • ถูก Stop Out เร็วเกินไป (Too Tight): หากตั้งระยะห่างแคบเกินไป การสวิงของราคาเพียงเล็กน้อย (Noise) ก็อาจทำให้ถูกปิดออเดอร์ได้ง่าย ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นหากราคากลับไปในทิศทางเดิม
  • ให้กำไรคืนตลาดมากเกินไป (Too Wide): หากตั้งระยะห่างกว้างเกินไป เมื่อราคากลับตัว คุณอาจสูญเสียกำไรที่สะสมมาไปมาก ก่อนที่ Trailing Stop จะทำงาน
  • ไม่เหมาะกับทุกสภาวะตลาด: ดังที่กล่าวไปแล้วว่าไม่เหมาะกับตลาด Sideways
  • การหยุดทำงานของแพลตฟอร์ม: หากแพลตฟอร์มเทรดหลุดการเชื่อมต่อหรือปิดไป Trailing Stop จะหยุดทำงาน ทำให้คุณอาจไม่ได้รับการปกป้องตามที่คาดหวัง

การทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้และการฝึกฝนการใช้งานอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ Trailing Stop เป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมการเทรดของคุณอย่างแท้จริง

สรุป: ยกระดับการเทรดด้วย Trailing Stop

Trailing Stop ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือป้องกันการขาดทุน แต่เป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถ ล็อกกำไรที่เกิดขึ้นแล้วและรันกำไรในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง การเรียนรู้และประยุกต์ใช้ Trailing Stop จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาที่คาดไม่ถึง และช่วยให้คุณไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อเลื่อน Stop Loss ด้วยตนเองตลอดเวลา

ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือมีประสบการณ์ การทำความเข้าใจหลักการทำงานของ Trailing Stop การเลือกประเภทที่เหมาะสม (Active หรือ Automatic) และการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้ Supertrend, แนวรับ-แนวต้าน หรือโครงสร้างตลาด จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงผลลัพธ์การเทรดได้อย่างก้าวกระโดด อย่าลืมที่จะฝึกฝน ทดลองกับบัญชี Demo และปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความผันผวนของคู่สกุลเงินที่คุณสนใจ

การเทรดอย่างมีวินัยและใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น Trailing Stop คือหัวใจสำคัญของการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว และจำไว้เสมอว่า “การปกป้องกำไรคือการสร้างกำไร” ด้วย Trailing Stop คุณจะมีโอกาสที่ดีกว่าในการคว้าโอกาสและเติบโตในโลกของการเทรด Forex อย่างมืออาชีพ

You Might Also Like

Contact Us on Line