TOP 10 บทความยอดนิยม

ดูทั้งหมด
ระบบเทรดสั้น

เทคนิคเทรดสั้น 1-5 นาที

กันยายน 29, 2022

เปิดเผยกลยุทธ์ Scalping ทำกำไรเร็ว: เทรดสั้น 1 นาที และ 5 นาที ด้วย Trendline, Pin Bar, แนวรับ-แนวต้าน และ Bollinger Bands

การเทรดแบบ Scalping หรือที่รู้จักกันในชื่อ “การเทรดสั้น” เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักลงทุนที่ต้องการ ทำกำไรในช่วงเวลาอันสั้น โดยอาศัยความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อยในตลาด Forex โดยเทรดเดอร์จะเปิดและปิดออเดอร์อย่างรวดเร็ว เพื่อเก็บ Pips (จุด) เพียงไม่กี่จุดในแต่ละครั้ง กลยุทธ์นี้ต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกราฟราคา การตัดสินใจที่เฉียบคม และการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้จะเจาะลึก 3 ระบบเทรด Scalping ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ได้แก่ การใช้ Trendline และ Pin Bar ใน Timeframe 1 นาที, การใช้แนวรับ-แนวต้านใน Timeframe 1 นาที และการใช้ Bollinger Bands ใน Timeframe 5 นาที ซึ่งแต่ละกลยุทธ์มีหลักการและเทคนิคเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป

Scalping 1 นาที: ผสานพลัง Trendline และ Pin Bar

กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความเข้าใจพื้นฐานในการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน โดยเฉพาะ Pin Bar และการลากเส้น Trendline ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุทิศทางและจุดกลับตัวของราคา

ทำความเข้าใจ Pin Bar และ Trendline ในการเทรดสั้น

  • Pin Bar คืออะไร? Pin Bar (หรือ Pinocchio Bar) เป็นรูปแบบแท่งเทียนที่แสดงถึงการปฏิเสธราคาอย่างรุนแรง โดยมีลำตัวเล็กและมีไส้ยาว (Shadow หรือ Wick) ยื่นออกมาด้านหนึ่ง ซึ่งบ่งชี้ถึงการกลับตัวของราคาที่อาจเกิดขึ้นได้ การสังเกต Pin Bar ที่ชัดเจนเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ รูปแบบ Pin Bar มีทั้งแบบ Bullish Pin Bar (ไส้ยาวลงด้านล่าง แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาดันราคาขึ้น) และ Bearish Pin Bar (ไส้ยาวยื่นขึ้นด้านบน แสดงถึงแรงขายที่เข้ามาดันราคาลง)
  • Trendline คืออะไร? Trendline หรือ เส้นแนวโน้ม คือเส้นที่ลากเชื่อมจุดสูงสุด (Highs) หรือจุดต่ำสุด (Lows) ของราคาที่สัมพันธ์กัน เพื่อระบุทิศทางหลักของตลาด (แนวโน้มขาขึ้น, ขาลง หรือ Sideways) Trendline ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบไดนามิกที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา

ในตัวอย่างภาพกราฟคู่เงิน GBP/AUD ใน Timeframe 1 นาที เราจะเห็นการประยุกต์ใช้ Trendline และ Pin Bar ในการหาจุดเข้าซื้อ (Buy) ที่มีโอกาสทำกำไรสูง

เงื่อนไขการเปิดออเดอร์ Buy ด้วย Trendline และ Pin Bar

  1. ลาก Trendline ขาขึ้น: เริ่มต้นด้วยการระบุแนวโน้มขาขึ้น และลากเส้น Trendline เชื่อมจุดต่ำสุดที่สำคัญอย่างน้อยสองจุดขึ้นไป ยิ่งมีจุดสัมผัสมากเท่าไหร่ Trendline นั้นก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
  2. รอราคากลับมาทดสอบ Trendline: อดทนรอให้ราคาย่อตัวกลับลงมาสัมผัสหรือใกล้เคียงกับเส้น Trendline ที่เราลากไว้ นี่คือบริเวณที่อาจเกิดการกลับตัวของราคา
  3. สังเกต Pin Bar เพื่อยืนยัน: เมื่อราคาทดสอบ Trendline ให้สังเกตการเกิด Pin Bar รูปแบบ Bullish Pin Bar (ไส้ยาวลงด้านล่าง) ในบริเวณนี้ จะเป็นสัญญาณยืนยันที่แข็งแกร่งว่าแรงซื้อกำลังกลับเข้ามาและราคาอาจจะดีดตัวขึ้น
  4. เปิดออเดอร์ Buy: หลังจากแท่งเทียน Pin Bar ปิดสมบูรณ์ ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันที
  5. วาง Stop Loss: เพื่อจำกัดความเสี่ยง ควรวาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของ Pin Bar ประมาณ 10 Pips เสมอ กฎนี้สำคัญอย่างยิ่งในการ บริหารความเสี่ยง ของการเทรด Scalping
  6. ตั้ง Take Profit: เป้าหมายการทำกำไรสำหรับ Scalping มักจะสั้น โดยอาจตั้ง Take Profit ไว้ที่ 10 Pips หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความผันผวนของคู่เงินและ วินัยการเทรด ของแต่ละบุคคล บางครั้งการเก็บกำไรเพียง 6-7 Pips ก็ถือว่าเพียงพอแล้วในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง

เงื่อนไขการเปิดออเดอร์ Sell ด้วย Trendline และ Pin Bar

  1. ลาก Trendline ขาลง: ในทางตรงกันข้าม หากระบุแนวโน้มขาลง ให้ลากเส้น Trendline เชื่อมจุดสูงสุดที่สำคัญอย่างน้อยสองจุดลงมา
  2. รอราคากลับมาทดสอบ Trendline: รอให้ราคาวิ่งขึ้นไปทดสอบหรือใกล้เคียงกับเส้น Trendline ที่เราลากไว้
  3. สังเกต Pin Bar เพื่อยืนยัน: เมื่อราคาทดสอบ Trendline ให้สังเกตการเกิด Pin Bar รูปแบบ Bearish Pin Bar (ไส้ยาวยื่นขึ้นด้านบน) ในบริเวณนี้ จะเป็นสัญญาณยืนยันว่าแรงขายกำลังเข้ามาและราคาอาจจะปรับตัวลง
  4. เปิดออเดอร์ Sell: หลังจากแท่งเทียน Pin Bar ปิดสมบูรณ์ ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที
  5. วาง Stop Loss: วาง Stop Loss ไว้สูงกว่าจุดสูงสุดของ Pin Bar ประมาณ 10 Pips เพื่อควบคุมความเสี่ยง
  6. ตั้ง Take Profit: ตั้งเป้าหมายทำกำไรที่ 10 Pips หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย เช่นเดียวกับออเดอร์ Buy การทำกำไร 5-6 Pips ก็เป็นที่ยอมรับได้สำหรับการเทรดสั้น

จากภาพตัวอย่างในเทรนด์ขาลง จะเห็นว่ามีสัญญาณ Pin Bar เกิดขึ้นถึง 5 ครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสในการเข้า Sell ทำกำไรได้หลายครั้ง

เทรดสั้น 1 นาที: อาศัยแนวรับและแนวต้าน

กลยุทธ์นี้เป็นการใช้หลักการของ แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ในการหาจุดเข้าซื้อหรือขายอย่างรวดเร็ว โดยอาจใช้ Indicator เสริมเพื่อช่วยในการระบุแนวรับแนวต้านอัตโนมัติ

แนวรับและแนวต้านคืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?

  • แนวรับ (Support): ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับทิศทางการลดลงของราคา เปรียบเสมือน “พื้น” ที่รองรับราคาไม่ให้ตกไปต่ำกว่านั้น
  • แนวต้าน (Resistance): ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือกลับทิศทางการเพิ่มขึ้นของราคา เปรียบเสมือน “เพดาน” ที่ขวางกั้นราคาไม่ให้ขึ้นไปสูงกว่านั้น
  • ความสำคัญ: แนวรับและแนวต้านเป็นจุดที่เทรดเดอร์จำนวนมากเฝ้ารอเพื่อเปิดออเดอร์ เนื่องจากเป็นบริเวณที่ราคามักจะมีการตอบสนองอย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนการเข้าและออกได้อย่างมีกลยุทธ์

การเลือกคู่เงินที่เหมาะสมสำหรับกลยุทธ์นี้

สำหรับการเทรด Scalping โดยใช้แนวรับแนวต้านใน Timeframe 1 นาที การเลือกคู่เงินที่มี Spread (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย) ต่ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการทำกำไรเพียงไม่กี่ Pips จะถูกบั่นทอนด้วยค่า Spread ที่สูง คู่เงินที่แนะนำได้แก่ EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, AUD/USD, USD/CHF เนื่องจากเป็นคู่เงินหลักที่มีสภาพคล่องสูงและ Spread ต่ำ

กฏของการเปิดออเดอร์ Buy ด้วยแนวรับแนวต้าน

  1. ระบุแนวรับและแนวต้าน: ในกราฟ 1 นาที ให้สังเกตเส้นประสีน้ำเงินสำหรับแนวรับ และเส้นประสีแดงสำหรับแนวต้าน (อาจใช้ Indicator ที่ช่วยหาแนวรับแนวต้านอัตโนมัติเข้ามาช่วย)
  2. รอแท่งเทียนปิดเหนือแนวต้าน: รอให้แท่งเทียน 1 นาที ปิดตัวเหนือเส้นประสีแดง (แนวต้าน) อย่างชัดเจน การปิดเหนือแนวต้านบ่งชี้ถึงการทะลุแนวต้านและแรงซื้อที่แข็งแกร่ง
  3. เปิดออเดอร์ Buy: หลังจากแท่งเทียนปิดเหนือแนวต้าน ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันที
  4. วาง Stop Loss: วาง Stop Loss ต่ำกว่าจุดที่เปิดออเดอร์ประมาณ 7-10 Pips เพื่อควบคุมความเสี่ยง หากราคาย้อนกลับลงมาต่ำกว่าแนวต้านอย่างรวดเร็ว แสดงว่าการ Breakout อาจเป็นสัญญาณหลอก (False Breakout)
  5. ปิดทำกำไร: ปิดทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการประมาณ 7-10 Pips หรือมากกว่านั้นตามความเหมาะสม จากนั้นเตรียมตัวสำหรับการเทรดครั้งต่อไป

กฏของการเปิดออเดอร์ Sell ด้วยแนวรับแนวต้าน

  1. ระบุแนวรับและแนวต้าน: เช่นเดียวกับออเดอร์ Buy ให้สังเกตเส้นประสีน้ำเงินสำหรับแนวรับ และเส้นประสีแดงสำหรับแนวต้านในกราฟ 1 นาที
  2. รอแท่งเทียนปิดต่ำกว่าแนวรับ: รอให้แท่งเทียน 1 นาที ปิดตัวต่ำกว่าเส้นประสีน้ำเงิน (แนวรับ) อย่างชัดเจน การปิดต่ำกว่าแนวรับบ่งชี้ถึงการทะลุแนวรับและแรงขายที่แข็งแกร่ง
  3. เปิดออเดอร์ Sell: หลังจากแท่งเทียนปิดต่ำกว่าแนวรับ ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที
  4. วาง Stop Loss: วาง Stop Loss สูงกว่าจุดที่เปิดออเดอร์ประมาณ 7-10 Pips เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคา
  5. ปิดทำกำไร: ปิดทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่ลงไปในทิศทางที่ต้องการประมาณ 7-10 Pips หรือมากกว่านั้น แล้วมองหาโอกาสในการเทรดครั้งต่อไป

เทรดสั้น 5 นาที: กลยุทธ์ Bollinger Bands

กลยุทธ์ Scalping ด้วย Bollinger Bands ใน Timeframe 5 นาที เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความกระตือรือร้นและต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว แต่ยังคงต้องการการยืนยันจาก Indicator ที่น่าเชื่อถือ การเทรดแบบนี้ต้องอาศัยวินัยในการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

ทำความเข้าใจ Bollinger Bands และพฤติกรรมเทรดเดอร์ Scalping

  • Bollinger Bands คืออะไร? Bollinger Bands เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ประกอบด้วย 3 เส้น ได้แก่ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ตรงกลาง และเส้น Band บน-ล่างที่ปรับตามความผันผวนของราคา Band บนและล่างจะขยายออกเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง และหดตัวเมื่อตลาดมีความผันผวนต่ำ โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบของ Bollinger Bands และการที่ราคาแตะหรือทะลุ Band บนหรือล่างมักจะบ่งชี้ถึงสภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold (ขายมากเกินไป) และอาจเกิดการกลับตัวของราคาได้
  • พฤติกรรมเทรดเดอร์ Scalping: เทรดเดอร์ Scalping มักจะมีลักษณะกล้าได้กล้าเสีย ตัดสินใจเร็ว และต้องการเห็นผลลัพธ์ในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม วินัยในการเทรด และการทดสอบกลยุทธ์ด้วยข้อมูลสถิติเป็นสิ่งสำคัญ เช่น หากทดสอบกลยุทธ์ 10 ครั้งและชนะ 7 ครั้ง นั่นแสดงว่ากลยุทธ์มีอัตราความสำเร็จ 70% ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าพอใจ

การตั้งค่าและเงื่อนไขการเทรด

  • Indicator: Bollinger Bands (ใช้ค่า Default)
  • Timeframe: 5 นาที
  • ช่วงเวลาเทรด: เหมาะสมที่สุดในช่วงตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดยุโรป (London Session) หรือตลาดอเมริกา (New York Session) เนื่องจากเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายมากและความผันผวนสูง
  • คู่เงินที่ควรเทรด: EUR/USD และ GBP/USD เป็นคู่เงินที่แนะนำ เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและ Spread ค่อนข้างต่ำในช่วงเวลาดังกล่าว

กฏของการ BUY ด้วย Bollinger Bands

  1. สังเกตกรอบราคา: กรอบราคาจะต้องอยู่ในช่วงที่ Bollinger Bands ไม่ได้บีบตัวแคบหรือขยายตัวเป็นเทรนด์ที่ยาวนานเกินไป นั่นคือตลาดอยู่ในช่วง Sideways หรือมีการเคลื่อนไหวแบบ Channel
  2. รอราคาแตะเส้น Bollinger Bands ล่าง: เมื่อราคาเคลื่อนไหวลงมาแตะหรือทะลุเส้น Bollinger Bands ล่าง (Lower Band) ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะ Oversold และมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้น
  3. ทำการ BUY: ทันทีที่ราคาแตะหรือทะลุเส้น Bollinger Bands ล่าง ให้เปิดออเดอร์ Buy
  4. ตั้ง Stop Loss: วาง Stop Loss ต่ำกว่าจุดที่เข้าออเดอร์ประมาณ 10 Pips เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหากราคายังคงปรับตัวลงต่อ
  5. เก็บกำไร: สามารถเก็บกำไรได้ตามความพอใจเมื่อกราฟพุ่งขึ้นเหนือจุดที่เข้าออเดอร์ แนะนำให้ตั้งเป้าหมายทำกำไรตั้งแต่ 5-10 Pips ขึ้นไป หรืออาจใช้ Trailing Stop เพื่อรันกำไรต่อไปหากราคายังคงเคลื่อนที่ในทิศทางที่ต้องการ

กฏของการ Sell ด้วย Bollinger Bands

  1. สังเกตกรอบราคา: เช่นเดียวกับการ Buy กรอบราคาจะต้องอยู่ในช่วงที่ Bollinger Bands ไม่ได้บีบตัวแคบหรือขยายตัวเป็นเทรนด์ที่ยาวนาน ซึ่งหมายถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
  2. รอราคาแตะเส้น Bollinger Bands บน: เมื่อราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปแตะหรือทะลุเส้น Bollinger Bands บน (Upper Band) ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะ Overbought และมีโอกาสที่จะปรับตัวลง
  3. ทำการ Sell: ทันทีที่ราคาแตะหรือทะลุเส้น Bollinger Bands บน ให้เปิดออเดอร์ Sell
  4. ตั้ง Stop Loss: วาง Stop Loss สูงกว่าจุดที่เข้าออเดอร์ประมาณ 10 Pips เพื่อควบคุมความเสี่ยง หากราคายังคงปรับตัวขึ้นต่อ
  5. เก็บกำไร: สามารถเก็บกำไรได้ตามความพอใจเมื่อกราฟปรับตัวลงต่ำกว่าจุดที่เข้าออเดอร์ แนะนำให้ตั้งเป้าหมายทำกำไรตั้งแต่ 5-10 Pips ขึ้นไป หรือใช้ Trailing Stop เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสูงสุด

ตารางสรุปกลยุทธ์ Scalping

กลยุทธ์ Timeframe เครื่องมือหลัก เงื่อนไข Buy เงื่อนไข Sell Stop Loss Take Profit คู่เงินที่แนะนำ ข้อควรระวัง
Trendline & Pin Bar 1 นาที Trendline, Pin Bar ราคาแตะ Trendline ขาขึ้น + Bullish Pin Bar ราคาแตะ Trendline ขาลง + Bearish Pin Bar 10 Pips ใต้/เหนือ Pin Bar 10 Pips หรือมากกว่า ทุกคู่เงิน (เน้นสภาพคล่องสูง) ต้องแยกแยะ Pin Bar จริงจากสัญญาณหลอก
แนวรับ-แนวต้าน 1 นาที แนวรับ, แนวต้าน (อาจใช้ Indicator) แท่งเทียนปิดเหนือแนวต้าน แท่งเทียนปิดต่ำกว่าแนวรับ 7-10 Pips ใต้/เหนือจุดเข้า 7-10 Pips หรือมากกว่า Spread ต่ำ (EUR/USD, GBP/USD) False Breakout, ต้องเลือกโบรกเกอร์ Spread ต่ำ
Bollinger Bands 5 นาที Bollinger Bands (ค่า Default) ราคาแตะ Bollinger Bands ล่าง ราคาแตะ Bollinger Bands บน 10 Pips ใต้/เหนือจุดเข้า 5-10 Pips หรือมากกว่า EUR/USD, GBP/USD (ตลาดยุโรป/อเมริกา) ไม่เหมาะกับตลาด Sideways แคบ หรือ Trend แข็งแกร่ง

FAQ Section (คำถามที่พบบ่อย)

Q1: Scalping คืออะไร และเหมาะกับเทรดเดอร์แบบไหน?

A1: Scalping คือ กลยุทธ์การเทรดระยะสั้นมาก โดยมีเป้าหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง เทรดเดอร์จะเปิดและปิดออเดอร์อย่างรวดเร็ว (ภายในไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที) เพื่อเก็บ Pips เพียงไม่กี่จุด กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความกระตือรือร้น ชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว มีวินัยสูง สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี และมีเวลาเฝ้าหน้าจออย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีบัญชีเทรดที่มีค่า Spread ต่ำ เพื่อให้การทำกำไรเพียงน้อยนิดยังคงคุ้มค่า

Q2: ทำไมการใช้ Stop Loss และ Take Profit ในกลยุทธ์ Scalping จึงสำคัญมาก?

A2: การใช้ Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในกลยุทธ์ Scalping เนื่องจากเป็นการเทรดที่มีความเสี่ยงสูงและมุ่งเน้นการทำกำไรในระยะสั้น การวาง SL ช่วยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหากตลาดเคลื่อนไหวผิดทาง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาเงินทุนและป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยบานปลายกลายเป็นจำนวนมาก ส่วนการตั้ง TP ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถล็อกกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และป้องกันไม่ให้กำไรที่เห็นอยู่เลือนหายไปหากราคากลับตัวอย่างรวดเร็ว การมี SL และ TP ที่ชัดเจนยังช่วยให้เทรดเดอร์รักษาวินัยและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ใช้อารมณ์

Q3: การเทรด Scalping ใน Timeframe 1 นาที และ 5 นาที มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

A3:
ข้อดี:

  • โอกาสทำกำไรสูง: สามารถหาจุดเข้าเทรดได้บ่อยครั้งในหนึ่งวัน
  • ความเสี่ยงต่อข่าวสารลดลง: ออเดอร์ถูกเปิดและปิดอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้รับผลกระทบจากข่าวเศรษฐกิจสำคัญน้อยกว่าการเทรดระยะยาว
  • ใช้เงินทุนน้อย: สามารถเริ่มต้นด้วยเงินทุนไม่มากนัก

ข้อเสีย:

  • ความเครียดสูง: ต้องใช้สมาธิและการตัดสินใจที่รวดเร็วตลอดเวลา
  • ค่า Spread และ Commission: การเปิดปิดออเดอร์บ่อยครั้ง ทำให้ต้นทุนจากค่า Spread และ Commission สูงขึ้น
  • สัญญาณรบกวน (Noise) มาก: กราฟใน Timeframe สั้นๆ มักจะมีสัญญาณหลอกจำนวนมาก ทำให้ต้องอาศัยประสบการณ์และความแม่นยำในการวิเคราะห์
  • ความต้องการโบรกเกอร์ที่เหมาะสม: ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่า Spread ต่ำและมีความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง (Execution Speed) สูง

Q4: ควรใช้ Indicator เสริมอะไรเพิ่มเติมในการเทรด Scalping?

A4: นอกจาก Trendline, Pin Bar, แนวรับ-แนวต้าน และ Bollinger Bands แล้ว เทรดเดอร์ Scalping สามารถพิจารณาใช้ Indicator เสริมอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ เช่น:

  • RSI (Relative Strength Index): ใช้เพื่อระบุสภาวะ Overbought หรือ Oversold ซึ่งอาจบ่งบอกถึงจุดกลับตัวของราคา
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้เพื่อยืนยันโมเมนตัมของราคาและสัญญาณ Breakout
  • Stochastic Oscillator: คล้ายกับ RSI ใช้ในการระบุสภาวะ Overbought/Oversold และสัญญาณการกลับตัว
  • Volume: แม้จะหาข้อมูล Volume ในตลาด Forex ได้ยาก แต่หากมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การสังเกต Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติอาจช่วยยืนยันการ Breakout ได้

การใช้ Indicator หลายตัวพร้อมกันควรทำด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ “Indicator Overload” และทำให้การตัดสินใจสับสน ควรเลือกใช้เพียง 1-2 ตัวที่เข้าใจและเข้ากับกลยุทธ์หลัก

Conclusion (สรุป)

กลยุทธ์ Scalping ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Trendline และ Pin Bar, แนวรับ-แนวต้าน หรือ Bollinger Bands ล้วนเป็นวิธีการที่ทรงพลังในการทำกำไรในตลาด Forex ในระยะสั้น แต่หัวใจสำคัญของความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การเลือกกลยุทธ์เพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับ วินัยในการเทรด (Discipline) การ บริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่เข้มงวด และ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การทำความเข้าใจหลักการของแต่ละเครื่องมือ การเลือก Timeframe และคู่เงินที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ที่ชัดเจน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน แม้จะเป็นการเทรดในช่วงเวลาอันสั้นก็ตาม

หากคุณสนใจที่จะพัฒนาทักษะการเทรด Scalping หรือกำลังมองหาเครื่องมือช่วยในการเทรดอัตโนมัติ อย่าลังเลที่จะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ที่สามารถช่วยให้คุณเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

____________________________________

สำหรับพี่ๆที่สนใจเข้ากลุ่มผู้ใช้ EA เปิดบัญชีคลิกที่ลิงค์
ส่งเลข MT4 รับลิงค์ได้เลย
________________________________________________
 👍สมัครยืนยันตัวตนรับ EA ได้ฟรีตลอดชีพ
XM มีโบนัสสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่ $30 และมีโบนัสเงินฝาก
Exness สมัครง่ายฝากถอนเร็ว
GMI เทรดดีไม่มีสะดุด ฟรี Free Swap ทุกบัญชี
https://bit.ly/GMI-TH
________________________________________________
 ♥️ สอบถามเพิ่มเติมที่
Line id : @ft.th https://lin.ee/u0dwlLM
——–
ติดตามเราได้ที่
📧LINE: @ft.th ( https://lin.ee/u0dwlLM )
🎬Youtube: FTT – investing (https://shorturl.asia/7wqIe )
_____________________________________________
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ
เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

You Might Also Like

Contact Us on Line